Osaka Gozaimasu : 4 คืน 4 วันกับประสบการณ์ไปไหนไม่ได้เพราะพายุจ่ามี

เป็นการไปญี่ปุ่นครั้งแรกที่อึด ถึก ทน ทรหด แข็งขันมาก
ด้วยความที่มาอยู่หลายวัน การวางแผนก็เลยจะต้องแม่นยำมากหน่อย
เป็นทริปที่ปะปนไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายสุด ๆ ทั้งมึน ทั้งงง ทั้งเด๋อ
แถมมีความสุขและเศร้าไปในเวลาเดียวกัน แบบ 3 นาที 4 อารมณ์ไปเลยจ้า

ที่พูดมานี่ไม่ได้กล่าวถึงหญิงสาวในช่วงเวลามีประจำเดือนนะคะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด


เอาเป็นว่าเราเริ่มโดยไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงอะไรมากกันเลยดีกว่า
เริ่มจากตั๋ว รอบนี้เราก็ยังไว้ใจ AirAsia ให้เป็นคนพาเราไปส่งยังที่หมายเหมือนเดิม
จองข้ามปี ตั๋วดีราคาถูก เราได้ตั๋วที่ราคาตกคนละ 8,XXX บาทไปกลับ
เวลาบินขาไป บินบ่าย ไปถึงดึกๆ แล้วเดินทางเข้าที่พักเลย ก็คือเสียค่าที่พักฟรีไป 1 วัน
ส่วนขากลับ ก็บินดึก ถึงประเทศไทยในเวลาเช้าตรู่ เช้าแบบทุกคนกำลังออกไปทำงานกัน


 DAY 0 DEPARTURE DAY 
ใครที่เคยเดินทางไปต่างประเทศบ่อย ๆ ก็คงจะเข้าใจและรู้จักการเช็คอินดีอยู่แล้ว
เราควรจะมาก่อนเวลา เพราะว่าถ้ามาแล้วแถวยาวมาก ก็อาจจะต้องยืนรอจนขาล้า
แต่จริง ๆ ถึงรีบมากแค่ไหน เราว่าก็มีสิทธิ์ต้องมาต่อแถวนานมากอยู่ดี
ส่วนเรา เรานัดจอดรถกับ Valet Parking Donmueang เอาไว้ ก็เลยจำเป็นต้องรีบมา
จะได้จัดแจงทำธุระหลาย ๆ อย่างในสนามบินให้เสร็จไว ๆ

เรื่องการจอดรถในสนามบิน จริง ๆ ดอนเมืองเองก็มีที่จอดรถที่เราเข้าไปหาเองได้
เสียค่าที่จอดเหมือนกัน นับเป็นชั่วโมงหรือเหมาเป็นวัน จอดกี่วันก็มาจ่ายตอนขาออก
การจอดรถกับ Valet Parking ก็จะมี 2 รูปแบบ คือ การจองผ่านหน้าเว็บกับ Walk in
พี่เจได้ทำการจองผ่านหน้าเว็บมาแล้ว แต่บอกว่าเว็บมันจะบั๊ค ๆ หน่อย
พอกดจองไปแล้วมันกลายเป็นภาษาต่างดาว เลยไม่รู้ว่ามันจองได้หรือยัง
เราก็เลยเอาล็อคอินของพี่เจมาลองเข้าไปดู ก็เห็นว่าได้รหัสการจองมาเรียบร้อยแล้ว
แต่พี่เจก็ยังไม่แน่ใจ เราเลยโทรไปถามทาง call center ก็ได้ความว่า จองแล้วเรียบร้อย

เนื่องจากลืมถ่ายรูปมา ก็เลยขี้โกงโดยการเอารูปจากเว็บเขามาแปะเลยละกัน ขออนุญาตจ้า

จุดรับฝากรถจะมีทั้งหมด 4 จุด เราเลือก Terminal 1 ชั้น 3 ประตู 1 จะมีเคาท์เตอร์อยู่
ฝากเรียบร้อยก็จะได้เอกสารรับรถมา และเราต้องให้กุญแจเขาไปเพื่อนำรถเข้าที่จอด
อันนี้ทำให้พี่เจแพนิคมากว่า รถจะเป็นอะไรไหม จะได้รับบาดแผลเพิ่มไหม
เพราะว่าเคยอ่านรีวิวเจอว่า พอรถเป็นรอยเพิ่มก็ไม่มีการรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น
แต่ทางนั้นเขาก็เคลมตัวเองเหมือนกันว่า มีความปลอดภัยและคุณภาพสูงสุด

ฝากรถเสร็จเราต้องไปรับ Pocket Wifi ที่ทำการจองเอาไว้ ที่จุดรับฝากกระเป๋าชั้น 2
ตอนแรกก็จินตนาการไว้ว่า พนักงานคงอยู่ร่วมกันกับพนักงานของจุดฝากกระเป๋าเลย
แต่ที่ไหนได้ มันคือการฝากกระเป๋า Pocket Wifi ไว้ให้เรามารับไปใช้ และเอามาคืน
เสียดายที่ไม่มีคนช่วยเช็คเครื่อง แต่พอลองทักไปถามก็ได้คำตอบไวมาก
คือสามารถเปิดเครื่องเพื่อตรวจสอบได้ แต่ต้องห้ามเชื่อมต่อจนกว่าจะไปถึงที่ญี่ปุ่น
เราเขียนบล็อกเกี่ยวกับการจอง Pocket Wifi ไว้ต่างหาก กดเข้าไปลองอ่านดูได้
KIX02 Pocket Wifi กับคุณนายเจ้าปัญหา

Pocket Wi-Fi ก็จะหน้าตาประมาณนี้

จากนั้นเราก็ไปเตรียมตัวเช็คอิน เข้าเกท ขึ้นเครื่อง ปิดตานอน
เวลาผ่านไปเกือบ 6 ชั่วโมง เราก็มาถึงประเทศญี่ปุ่นเสียที

สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ไปถึงที่พักให้เร็วที่สุด เพราะต้องการนอนบนที่นอนแล้ว
พรุ่งนี้จะได้มีแรงไปต่อสู้กับโปรแกรมที่ยิ่งใหญ่ที่เราวางเอาไว้
เราข้าม Terminal ออกจากสนามบิน ผ่าน ตม. หยิบกระเป๋า แล้วก็จ้ำไปยังตู้ขายตั๋ว
เราจะต้องนั่งรถไฟสายนันไก ไปลงสถานีนัมบะ ก็มองอยู่นานว่าต้องกดตั๋วอันไหน
ซึ่งจริง ๆ มันก็ไม่ได้ยากมากเพราะมีข้อความเขียนบอก แถมแยกสีให้เห็นชัด
แต่มันจะมีความกล้า ๆ กลัว ๆ ว่า เอ้ย จะถูกไหม จะใช่หรือเปล่า
เรากดตั๋วราคา 920 เยนออกมา เพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานีนัมบะ พอตั๋วออกมาแล้ว
เราเห็นเวลาบนตั๋วเขียนว่า 23.05 ซึ่งเราคิดว่ามันคือรอบรถที่กำลังจะออก
พอดูนาฬิกา เห้ย แม่ง 23.05 เหมือนกันเลย ก็เลยวิ่ง แถมเด๋อเสียบตั๋วไม่เป็นด้วย
แต่เจ้าหน้าที่ในสถานีก็ชี้ ๆ จนเข้ามาได้ พอลงมารถก็เหมือนจะไปแล้ว ก็เลยวิ่งขึ้นไปเลย

พื้นหลังแหววไปนิด โทษที

พอประตูปิด พี่เจก็ถามว่า เราขึ้นถูกฝั่งใช่ไหม มันจะไปปลายทางนัมบะใช่ไหม
ตอนนั้นคือลุ้นให้ถึงสถานีต่อไปมาก เพื่อที่จะได้รู้ว่าเราขึ้นถูกฝั่งหรือเปล่า และก็ถูก
ปล. เวลาบนตั๋ว เรามารู้ตัวตอนวันกลับแล้วว่ามันคือเวลาที่เรากดตั๋วออกมา ไม่ใช่รอบรถ

ถึงที่พัก เช็คอิน กรอกประวัติ รับกุญแจ ขึ้นห้อง จัดเสื้อผ้าออกมาเล็กน้อย
KIX01 จองที่พักทั้งที ถูกและดีมีอยู่ไหม ส่วนนี่คือวิธีจองห้องแสนอลวน

หลังจากมาถึง เราจะอยู่ดี ๆ มานอนเลยไม่ได้ เราจะต้องรับทานอาหารสัก 1 มื้อ
เพื่อจะได้ไม่ต้องนอนหิว ถึงแม้จะเหนื่อยจนหลับไปก็ไม่รู้สึกอะไรก็ตาม
มื้อแรกของเราที่ญี่ปุ่น เราขอเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยร้านแถว ๆ ที่พัก
เรียกว่าเดินเจออะไรก็รับทานไปเลยจ้า พี่เจรับทานราเมง ส่วนเราขอเป็นข้าวหน้าปลาไหล

Our first meal at TEN-TI-JIN
อร่อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก แค่นั้นแหละ
กินเสร็จก็แบกพุงกลับไปนอน


เบียร์ที่กดหน้าลิฟต์ที่พัก ไม่อร่อย จบ


 DAY 1 OAP Day (Osaka Amazing Pass) 29/09/2018 
ตื่นเช้ารับวันที่ (คิดว่า) สดใส อาบน้ำแต่งตัวอย่างว่องไว ลงมารับทานอาหารเช้าฟรี
เพื่อพบว่า ฝนตกกกกกกกกกก แงงงงงง ทำไมมมมม วันอันสดใสของช้านไปหนายยยย

รีวิวอาหารเช้าเล็กน้อย เป็นอาหารเช้าง่าย ๆ สไตล์คนรีบ
แต่ถ้าหิวก็กินเข้าไปเยอะ ๆ เลย เหมือนเรา 555555555

 ถ้าใจเราสดใส ท้องฟ้าก็สดใส ☂

วันนี้เราวางแผนให้เป็นวันใช้ Osaka Amazing Pass สำหรับการเดินทางและวางแผนท่องเที่ยว
โดยเราจะลำดับสถานที่ที่เราวางไว้ว่าจะไปเพื่อให้ง่ายต่อการเขียนถึงแล้วกัน

- Osaka Amazing Pass เราซื้อจาก Japan All Pass ราคาไม่ต่างจากซื้อในญี่ปุ่นมาก
แค่เพิ่มเติมค่าส่งมาเท่านั้น บนเครื่องบินขาไปก็มีให้ซื้อด้วยนะ หรือจะไปซื้อในสถานีก็ได้ -


กล่าวถึงการใช้ชีวิตในสถานีรถไฟสักหน่อย
ถ้าไม่รวมความเด๋อของตัวเราเอง ถือว่าไม่ยาก แต่ต้องมีสติ
ในแต่ละสถานี จะมีทั้งสายเดียว 2 สาย 3 สาย หรือกระทั่ง 8 สาย
เพราะฉะนั้นเราต้องตั้งใจดูป้าย สายนี้เดินไปตามลูกศรนี้
ชอบมากตรงที่มีการแยกสี แยกหมายเลขเอาไว้ ทำให้ง่ายต่อการสังเกตมาก
ป้ายบอกเวลาและปลายทางก็มีประโยชน์สุด ๆ เชื่อถือได้ 100%

รู้แล้วว่าจะไปไหน ก็ไปกดตั๋วกันเล้ย! แต่เราไม่กดนะเพราะมีพาส อิ้อิ้

ถึงแล้วจ้า

(1) Osaka Castle (ฟรีเมื่อมี OAP)
เนื่องจากฝนตกที่บอกไปตอนแรก เราก็เลยต้องไปเที่ยวด้วยการพกร่มไปไหนมาไหนด้วย
ร่มที่ว่า มาจากโรงแรมที่เราพักพิงอาศัย โดยเขาจะมีที่วางร่มเอาไว้ตรงทางเข้าโรงแรม
คนที่มาเข้าพักก็จะสามารถยืมไปได้ พอกลับมาจากเที่ยวก็เอากลับมาคืนที่เดิม

Osaka Gozabune (ฟรีเมื่อมี OAP)
เราเดินมาต่อแถวขึ้นเรือชมรอบ ๆ ปราสาทก่อน เพราะตอนออกเราจะเดินไปขึ้นรถไฟอีกฝั่ง
ก่อนขึ้นเรือก็จะต้องมีตั๋ว ก่อนมีตั๋วก็จะต้องเอา OAP ไปแลกมา ฟรีอย่างที่บอก


แลกบัตรมาเรียบร้อย ก็ไปเข้าแถว

ถึงรอบของเราก็ขึ้นไปนั่ง บนเรือจะมีเสียงแนะนำประวัติของปราสาท มีภาษาอังกฤษด้วย
เราก็ไปกันแบบเปียก ๆ นั่นแหละ ดีที่เรือยังมีหลังคา ลำนึงนั่งได้ประมาณ 15 คนได้มั้ง
ใช้เวลารอบปราสาท 20 นาที จบรอบก็เดินเข้าไปในปราสาทต่อ แฉะมากกกก

ปราสาทโอซาก้าที่เห็นจากบนเรือ

จากนั้นเราก็เดินเข้าปราสาทกัน ในปราสาทก็จะเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์
ที่จัดแสดงเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับปราสาทและญี่ปุ่น
แต่ว่าถ่ายรูปไม่ได้ เลยไม่มีรูปมาให้ดู ส่วนบางชั้นก็มีถ่ายได้บ้าง
ชั้นบนสุดจะสามารถชมวิวได้ 360 องศา อากาศดีมากกก

สิ่งหนึ่งที่ชอบมากตอนขึ้นมาบนนี้คือ มันจะมีป้ายแสดงอาคารสถานที่
ของแต่ละฝั่งที่มองเห็น ว่าเราจะเห็นอาคารอะไรได้บ้าง แต่ไม่ได้ถ่ายป้ายมา

บรรยากาศรวม ๆ ก็จะเห็นว่าแฉะมาก แถมยังมีซากจากพายุครั้งก่อนด้วย

ถึงฝนจะตกแต่ก็ยังมีผู้คนแวะเวียนมา ถึงแม้จะไม่มากก็ตาม

สิ่งนี้คืออยากพูดถึงมาก เลยบังคับให้พี่เจถ่ายรูปมา
ตอนที่กำลังเดินลงบันได เราสังเกตไปที่ราวจับ จะมีอักษรเบรลล์อยู่ รู้สึกได้ถึงความใส่ใจอ่ะ

ปิดท้ายด้วยภาพคู่หน้าปราสาทถ่ายโดยสามขาเพื่อนรักซักหน่อย

เดินทางต่อ เพื่อไป Osaka bay สำหรับกิจกรรมต่อไป แต่ต้องขอแวะเติมพลังนิดนึง
พี่เจมักน้อย กับปานกลมมักมาก 5555555
ร้าน SUKIYA ตรงทางออก 2 ของสถานี Osakako

(2) Tempozan Giant Ferris Wheel (ฟรีเมื่อมี OAP)
ก่อนจะเข้าไปในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ เรามาต่อแถวเพื่อขึ้นชิงช้าสวรรค์ก่อน
จะมี 2 ช่องทางให้เลือก คือแบบพื้นใส กับแบบธรรมดา รอบละ 20 นาที
และแน่นอนเราเลือกแบบธรรมดา แค่ขึ้นแบบธรรมดาก็โคตรกลัวแล้ว
มันเอื่อยก็จริง แต่ก็สูงมากกกกกกกกกกก ใจสั่น น้ำตาคลอ 5555555
แต่ก็วิวสวยดี เวลาส่วนใหญ่คือแหกปากเพราะกลัวมากกว่าดื่มด่ำกับวิว


กระเช้าที่เราขึ้นก็จะมีสีสันสวยงาม แต่ถ้าเป็นอันใสก็คือสีใสอ่ะ

รีวิวความรู้สึกขณะนั่งชิงช้าสวรรค์ 5555555555555555

(3) Osaka Aquarium KAIYUKANG (ลดราคา 100 JPY เมื่อมี OAP เหลือ 2,200 JPY)
ที่นี่คือจุดประสงค์หลักของการมาเที่ยวโอซาก้าของเรา ต้องการชมปลา
เสียดายที่ลืมหยิบแผนที่มาด้วย เพราะมัวแต่โชว์เด๋อตอนซื้อตั๋วอยู่
ขอเล่าให้เป็นตราบาปของตัวเอง คือราคาตั๋ว 2 คนหลังจากลดแล้วมันจะ 4,400 เยน
เราก็จ่ายเงินด้วยการหยิบแบ้ง 1,000 เยนไปให้พนักงาน แล้วเขาก็มองมางงๆ
แล้วก็พูดว่า excuse me? เราถึงตื่นขึ้นมาแล้วพบว่า กูยื่นแบ้งอะไรป๊ายยยยย!
อายมาก แต่ก็ต้องทำใจ 5555555555555555555555 พนักงานยังถามว่ามากจากไหน
เราบอกประเทศไทยค่ะ เขาก็ตอบ ขอบคุณค่ะ ฮือ ขอโทษนา ขำแต่ก็เศร้าแต่ก็ขำ

มาพบกับปลาและปลาเท่านั้นที่ทำให้ใจฉันหวั่นไหวกันดีกว่า






ลักษณะทางเดินของที่นี่จะง่ายมาก ขั้นแรกจากทางเข้าจะให้ขึ้นไปชั้นสูงสุดก่อน
แล้วเดินไล่ลงมาเป็นวงกลมเรื่อย ๆ จนถึงชั้นสุดท้าย โซนขายของที่ระลึก


ไม่สามารถถ่ายให้ชัดได้ ขออนุญาตลงเป็นวิดีโอ 5555555

น้องตลกกกก กดดู กดดูววววว

นอกจากการเดินชมปลาไปเรื่อยแล้ว ก็มีกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คิดว่าน่าจะสำหรับเด็ก ๆ
คือมีสมุดเอาไปปั๊มตัวปั๊มตามโซนต่าง ๆ จะให้เด็ก ๆ ดูว่า นี่คือตัวอะไร
แล้วไปเอาตราปั๊มตัวนั้น ปั๊มลงสมุด ซึ่งขายนะ 310 เยน ตรงทางเข้าเลย

เราก็ชอบอะไรแบบนี้มาก เลยซื้อมาเล่นด้วยเลย น่าร้ากก ส่วนอันนี้ตราปั๊มตัวมาสคอท

ไปต่อ!

(4) Santa Maria Cruise (ฟรีเมื่อมี OAP)
ไม่ได้ซีเรียสมากว่าต้องขึ้น เพราะเป็นคนเมาเรือ
และสุดท้ายก็ไม่ได้ขึ้นจริงๆ เพราะกลัวไปอูเมดะไม่ทัน

(5) Umeda Sky Building (ฟรีเมื่อมี OAP ก่อน 18.00 น.)
พยายามจะมาให้ทัน วิ่งหน้าตั้งมาก มาถึงตอนเกือบ ๆ จะ 6 โมงแล้ว
แต่กลับพบว่า มันปิด เพราะพายุจะมาแล้วอ๊ากกกกกกก เสียดาย หงอยมากอันนี้

ทางเข้าที่ถูกปิดตาย แง

เงียบและมืดและเหนื่อยหอบ 5555555

(6) HEP Five Ferris Wheel (เข้าฟรีเมื่อมี OAP)
ไม่ได้ขึ้นเพราะปิดตั้งแต่ 5 โมง หนีพายุเหมือนกัน หงอยหนัก

เลยไปพักผ่อนตามอัธยาศัยในห้างของสถานีอูเมดะแทน
แต่เป็นการพักผ่อนที่หงอยมาก 55555555555 เลยไปเดินไดโซะ ได้ของมาปลอบใจแล้วกลับ

(7) Dotonbori
มาหาอะไรกินเพื่อย้อมใจ ฝนก็ยังตกไม่หยุด เริ่มด้วยทาโกะยากิ ที่ต้องกินถ้ามาญี่ปุ่น
แล้วก็ถ่ายรูปกับป้ายกูลิโกะในตำนาน ที่ใครมาก็ต้องถ่าย แต่ฝนตกแบบรำคาญมาก
เลยถ่ายมาได้แบบช็อตกาก ๆ 55555555555555

เจอเป็นร้านแรกเลยซื้อเลย อร่อยสมคำร่ำลือ

ได้ถ่ายกับป้ายกูลิโกะแล้วว เย้ ตายตาหลับแล้ว

ร้านปิ้งย่างแบบย่อม ๆ โดนเบียร์ไปแก้วนึง อันนี้เบียร์อร่อยแล้ว 555555 ยี่ห้อ Suntory เหรอ

และปิดด้วยเมนูสุดท้าย ซูชิปั้นสดจากเชฟป้อนเข้าปากไปเล้ย!

- และเนื่องจากทั้งวันมีข่าวอัพเดทเรื่องการเดินทางของพายุจ่ามี
รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่พากันรีบปิด และสถานีรถไฟด้วย
อีกทั้งบางร้านยังมีป้ายติดอยู่ด้านหน้าประกาศปิดในวันที่ 30
แถมสนามบินคันไซก็แจ้งปิดเพื่อรักษาความปลอดภัย เตรียมพร้อมรับพายุ
จึงทำให้แผนของเราต้องเปลี่ยน เปลี่ยนหนักเลยแหละ กลายเป็นผู้ประสบภัยที่แท้ -

 DAY 2 Trami Day (Typhoon victims) 30/09/2018 
จากข่าวเมื่อวาน ที่ทำให้เราต้องกลายเป็นผู้อพยพย่อม ๆ ในวันนี้
แผนการท่องเที่ยวเกียวโตที่วางไว้ในตอนแรก ก็ต้องเป็นอันล่มไปแบบน่าเสียดาย
แต่พยากรณ์คือบอกว่า พายุจะเริ่มมาตอนเที่ยง ๆ ตอนเช้าเราเลยออกไปตลาดก่อน

ระหว่างทางเดินไปตลาด เจอร้านพิซซ่าติดเทปที่กระจก
มโนเอาเองว่ามันกันแผ่นดินไหวเปล่า แบบกันแรงสั่งสะเทือนอะไรเงี้ย

(1) Kuromon Ichiba (ตลาดคุโรมง)
ถึงแม้ว่าจะมีข่าวพายุจ่ามีกำลังจะบุก แต่ตลาดก็ยังคึกคักและคนเยอะ
มีบางร้านปิดไปแล้วบ้าง ติดป้ายเอาไว้หน้าร้านเลยว่า วันนี้ปิด หนีพายุจ้า
เราเลยถ่ายรูปเล่นและหาอะไรกินเล่น นิด ๆ หน่อย ๆ เพราะเมื่อคืนพี่เจซ่าดูบอลยันตี 4
พอคนเยอะก็เลยเวียนหัวจะเป็นลม ต้องโด้ปไดฟูกุสตรอเบอร์รี่เข้าไป 1 ลูกพร้อมถือยาดม

มาดูบรรยากาศของตลาดคุโรมงกันดีกว่า
ทางเข้าและเหล่ารูปปั้น
มันมีอยู่ตอนนึงที่เราจะไปซื้ออะไรกิน แล้วพี่เจไม่อยากเข้าไป เพราะคนเยอะ
เลยบอกเราว่า จะไปรอตรงปู แต่เราไม่ได้ยิน แล้วเราบอกพี่เจว่า ให้รอตรง 4 แยก
ซึ่งแน่นอนพี่เจไม่ได้ยินเราเหมือนกัน พอแยกกันพี่เจก็จะไม่มีไวฟาย
เราซื้อเสร็จก็เดินมาตรงแยก และหาพี่เจไม่เจอ เดินไปเดินมาอยู่นานมาก
จนเกือบจะร้องไห้ละ พี่เจทักมาในไลน์ บอกว่า ไหนอ่ะ อยู่ตรงปู ...
นี่แบบโมโหก็โมโห เสียใจก็เสียใจ 555555555555555

แล้วพอกลับมา พี่เจก็ไปเจอกระทู้พูดถึงตลาดคุโรมงเขียนว่า
ถ้าเดินตามรูปปั้นปลาไปจะไม่หลงทางแน่นอน แล้วก็พูดแบบขำว่า
นี่ไง เพราะเราตามปูก็เลยหลงกัน ตบซะดีมั้ย

ของสดก็น่าซื้อไปหมด

ร้านร้อยเยนด้านล่างไม่ได้เข้าเลยอ่ะ เสียดาย

ของทอด ไดฟูกุ ร้านปิด และต่อแถวซื้อปลาดิบในร้านที่คนเยอะที่สุดในตลาด

เดินไปเรื่อย ๆ ใกล้เที่ยงแล้วก็กะว่าจะกลับไปที่พัก เพื่อหมกตัวอยู่ในนั้นจนกว่าจะเช้า
11.50 น. ฝนก็เริ่มตกลงมาเหมือนรู้เวลา พยากรณ์ก็แม่นป๊ายย เลยต้องรีบจ้ำกลับไปก่อนฝนจะแรง
มาถึงพี่เจก็เข้านอนไปตามระเบียบ ส่วนเราก็ดูทีวีที่จริง ๆ ก็ฟังไม่ออก
แต่มีข่าวเรื่องพายุคอยรีรันและอัพเดทอยู่เรื่อย ๆ เพื่อให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
และเนื่องจากไม่มีอะไรทำจริง ๆ นอกจากกินอาหารที่ซื้อมาจากตลาดคุโรมงแล้ว
เราก็เลยทำรีวิวห้องพักที่เราไปพักแบบละเอียดว่ามีอะไรยังไงบ้าง
โดยโรงแรมจะชื่อ Business Hotel Nissei อยู่แถว Namba และ Nippombashi

ส่วนอีกเรื่องที่ได้รับผลกระทบเต็ม ๆ คือเรื่องการจองชุดยูกาตะที่เกียวโต
เราทำรีวิวเอาไว้ในเฟซบุ๊กอีกเหมือนกัน ฤทธิ์ของกลกิโมโนหรือจะสู้พายุจ่ามี

หลังจากต้องโซ้ยบะหมี่กึ่งสำเป็นมื้อเย็นไปคนละถ้วย
บริเวณรอบ ๆ ที่พักก็ดูเหมือนจะไม่รุนแรงอย่างที่คิด
พอตกดึกหน่อย ก็รู้สึกเบื่อสิ่งที่ตุนไว้ บวกกับข้างนอกฝนก็ไม่ตกแล้ว
แถมพยากรณ์ก็บอกว่าจ่ามีเลี้ยวไปทางอื่นแล้ว เราก็เลยออกไปหาอะไรกิน

(2) จำชื่อร้านไม่ได้ ให้ชื่อว่า Trami night food ละกัน
ไม่ค่อยได้กินอะไรแปลก ๆ เพราะปกติพี่เจไม่ใช้สายกิน และเราเป็นคนชอบกินอะไรซ้ำ ๆ
ก็เลยมักจะเลือกเมนูซ้ำ ๆ เพื่อเซฟความรับทานไม่ได้ของพี่เจ


หน้าร้านก็จะจ้า ๆ หน่อย ข้างในมีหลายชั้น และดูเป็นทางการเบา ๆ

เมนูเทมปุระง่าย ๆ และซูชิเซ็ทพร้อมไก่คาราอะเกะกับซุปมิโซะ
กินเสร็จกลับมานอนเตรียมตัวไปสวนสนุกพรุ่งนี้ เย้ๆๆๆ

ขากลับก็เลยแวะช่วยเขายกตะกร้าปลาซักหน่อย


 DAY 3 USJ Day 01/10/2018 
ตื่นเช้ามาต้อนรับอากาศที่สดใส อันนี้สดใสของจริงแล้วจ้า แดดแรงเหมือนไม่เคยมีฝนมาก่อน
แสบตาเหมือนไปหลบอยู่ในถ้ำมา วันนี้เราพร้อมแล้วที่จะเดินทางออกไปเพื่อ Universal Studio

เราซื้อตั๋วสำหรับเข้า USJ แล้วตั้งแต่ก่อนมา ผ่านเว็บไซต์ของทาง USJ เองเลย
แล้วก็จะได้ QR code มาเพื่อเอาไปส่องที่ทางเข้า แถมเราก็ซื้อ Express pass มาด้วย
เพราะว่า ดูพยากรณ์จำนวนคนในสวนสนุกวันนั้น คนจะค่อนข้างเยอะ เราก็กลัวจะเล่นไม่ครบ
ซึ่งราคาของบัตร Express pass จะแบ่งตามจำนวนเครื่องเล่นที่ต้องการลัดคิวเป็น 3/4/7 เครื่อง
และแบ่งตามช่วงเดือนที่เราจะไปใช้บริการด้วย อารมณ์แบบ Peak season อะไรงั้น
เรามีรีวิวย่อม ๆ สำหรับการซื้อบัตรโปรวันเกิด ได้ลดราคา 500 เยน คนนึงใช้ได้ 6 สิทธิ์
KIX03 How to get doscount for USJ ticket ลด 150 บาทกลับมากินข้าวที่ไทยได้ 3 มื้อ
ปล. ส่วนวิธีซื้อ สมัครสมาชิก หรือใช้โปรวันเกิด เราแปะไว้ในโพสของในโพสอีกที อิ้อิ้

เราเลือก Expess pass 4 ที่มี Harry Potter และ Flying Dinosaur เป็นเครื่องหลัก
แล้วก็ได้ QR code มาเหมือนกัน วิธีใช้ก็เอาไปโชว์ให้พนักงานที่เครื่องเล่นสแกนเข้าไปได้เลย

และนี่คือเครื่องเล่นและคะแนนจากเราเอง ตามลำดับที่เราเล่น และคอมเม้นจากทางบ้าน

(1) The Amazing Adventure of Spider-man
อันนี้โชคดีมาก เรามาตอนมันเปิดแรก ๆ คือไม่ค่อยมีคนเลย
พอเข้าไปก็เดิน ๆ แล้วก็ได้เล่น
ตอนแรกกะไม่อธิบายอะไรมาก กลัวสปอยล์เครื่อง
แต่ลองพูดถึงหน่อยแล้วกัน มันจะเป็นอารมณ์แบบดูหนัง 4DX
แล้วก็มีซีนที่คนกลัวความสูงต้องร้องไห้เยอะหน่อย
แต่ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องกลัว 55555
คะแนน : ★★★

ทางเข้าเครื่องเล่น

หนุ่มสไปดี้ 2 คนเรียกแล้วก็หันมาแบบเขิน ๆ

(2) Despicable Me Minion Mayhem
ทุกอย่างน่ารักไปหมดเลย ฮือ แต่อาจจะเป็นเพราะคลั่งอยู่แล้ว
แต่ถ้าเทียบฟังก์ชั่นของเครื่องเล่นก็ไม่ได้หวือหวาเท่าไหร่ แต่น่ารัก
เข้าแถวรอประมาณ 20 นาทีมั้ง แต่ตอนเล่นอ่ะนาน แอบเวียนหัวนิดนึงด้วย
คะแนน : ★★★☆

พอสาย ๆ หน่อย คนก็เริ่มเยอะ แถมไม่ได้ใช้ express ด้วย

คอสตูมน้องมินเนี่ยนถือว่าเป็นที่นิยมสูงสุด ถ้าลองสังเกตจากที่เดินทั่วสวนสนุกทั้งวัน
และตัวเราเองก็ใส่มาเหมือนกัน แถมเจอคนที่ใส่เสื้อตัวเดียวกันอีกล้านแปด

(3) The Flying Dinosaur (ใช้ Express เลือกเวลา 10.00 น.)
คิดว่าตัวเองจะกลัวเครื่องนี้มากกว่านี้ แต่กลับชอบมาก มาก ๆๆๆๆ
คือเสียวนะ แต่เครื่องมันล็อคตัวไว้หมดเลย ถึงจะมองลงข้างล่าง
แต่กลับกลัวน้อยมาก สนุกมากกว่า 
คะแนน : ★★★★☆

อันนี้ขนาด express ยังรอเป็น 10 กว่านาทีเลย

(4) JAWS (ใช้ Express)
แอบสั้นไปหน่อย แถมเคยดูสปอยล์ของแถบฝรั่ง เลยรู้เนื้อเรื่องแล้ว
แต่ให้เครดิตพนักงานที่นำอ่ะ เพราะต้องคอแตกแน่ ๆ เลย พูดไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
อันนี้ก็ใช้พลัง Express pass เดินเข้ามาแล้วได้เล่นเลยอีกอ่ะ พลังของเงิน 55555
คะแนน : ★★★☆

อยากถ่ายกับปลาฉลาม แต่ไม่รู้ว่าต้องเสียตัง ก็เลยไม่ถ่ายกิด้ะ

เราเดินวนในสวนสนุกหลายรอบมาก มากแบบวนไปวนมาเลยอ่ะ
แล้วก็ได้เจอกับพาเหรด trick or treat สำหรับเด็ก ๆ มีขนมแจก เด็ก ๆ มาต่อแถวรอเต็มเลย

(5) Sesame Street 4-D Movie Magic
ขอโทษที่เข้าไป 55555555555555 เพราะเป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลย
และไม่มี subtitle ภาษาอังกฤษให้ แต่มีความ 4D อยู่นะ
คะแนน : ★★☆ (อันนี้ให้คะแนนความโง่ของตัวเอง)

ทุกคนกำลังเดินออกจากโรงหลังฉายเสร็จ

แวะกินข้าวเที่ยงกันหน่อยก่อนไปต่อ คือจริง ๆ อยากไปรับทานที่โซนมินเนี่ยนอ่ะ
แต่มันไม่มีโรงอาหารให้นั่ง ก็เลยไปที่ Amity town แทนเพื่อรับทานเบอร์เกอร์

จริง ๆ มันดูเหมือนเบอร์เกอร์ แต่เขียนเมนูว่าแซนวิช แต่ยาวเหมือนฮอทดอกอ่ะ

(6) Jurassic Park - The Ride
วื้บกว่าที่คิดไว้ เรียกว่ามีจังหวะอยากกรี๊ด แต่กรี๊ดไม่ออกอยู่ด้วย 555555
ป้ายข้างหน้าติดว่า รอ 35 นาที เราก็ได้รอประมาณนั้นจริง ๆ กว่าจะเดินเข้าไปถึงนานมาก
คะแนน : ★★★

ทางเข้าและทางเดินที่มีหลายขดมาก ตอนไปสิงคโปร์ว่าเลี้ยวเยอะแล้ว อันนี้เลี้ยวเยอะกว่าอีก

เป็นเครื่องที่เปียกหนักมาจริง ๆ แต่ถ้าใครไม่อยากเปียก ก็มีเสื้อกันฝนให้กดซื้อด้วย

(7) Hollywood Dream - The Ride (ใช้ Express)
อันนี้เรียกว่าเหนือความคาดหมายสุด ๆ ตอนแรกคิดว่าจะไม่ได้เล่นแล้ว
เพราะมันมีตอนที่ขึ้น Out of service อยู่ คนต่อแถวยาวแบบโอ้โหจะได้เล่นมั้ย
แต่มี Express ไง เดินเข้าไปได้เล่นเลยอีกแล้ว อ่านมาถึงตรงนี้คิดจะซื้อยังทันนะ
รู้สึกว่าเสียววื้บกว่า Flying Dino อีก น่าจะเป็นเพราะมันล็อกแค่ขา ไม่ล็อคตัว
สนุกมาก ชอบมาก แต่มันจะมีอีกเครื่องที่ใช้รางเดียวกันไม่ได้เล่น คือ Backdrop
คะแนน : ★★★★★

ไม่มีรูป ทำไมไม่มีรูป!! โมโห 55555555555555
อ๋อ จริง ๆ มีตอนออกมาหน้าสวนสนุกแล้ว
เห็นว่ารางมันงอกออกมาแล้วมองเห็นจากข้างนอกด้วย แต่เราถ่ายมาเป็นวิดีโอ

อันที่มีไฟ ๆ ที่วิ่งไปนั่นอ่ะ

ไปขโมยรูปจากในเว็บของยูนิเวอแซลมา แล้วยังทำเป็นใส่ลายน้ำตัวเอง 555555
อันซ้ายเคลื่อนแบบหันหน้าเป็น Hollywood Dream อันขวาแบบหันหลังเป็น Backdrop

หารูปเจอแล้วอ่ะ 555555555555555

หลังจากจบฮอลลีวูดดรีม ก็มีพาเหรดกำลังจะออกมา เราก็เลยหยุดดู
เพราะนี่ชอบดูพาเหรดมาก อยากเป็นคนเดินพาเหรด
ใช้ชีวิตแบบต้องยิ้มให้คนอื่นดูตลอดเวลา เหนื่อยหน่อยนะ แต่คนดูมีความสุขข :)

ชอบรูปนี้มาก ดูอลังการงานสร้าง

น้องงงงงงงงงง ❤❤❤❤

น่ารักสดใส

สนุกสนาน สวยงาม

(8) Space Fantasy - The Ride (Evangelion)
ตอนแรกไม่ได้คาดหวังอะไรเลย แค่ต้องไปเข้าโซนแฮรี่ตอน 16.40 น.
แล้วมันเหลือเวลาเป็นชั่วโมง 2 ชั่วโมง เลยมาต่อแถวแบบขำ ๆ
ป้ายด้านหน้าบอกว่ารอ 80 นาที เราก็ได้รอ 80 นาทีไม่ขาดไม่เกิน สุดยอด
แต่เครื่องนี้จะบังคับฝากกระเป๋า ล็อกเกอร์ละ 100 เยน และต้องใส่ VR
คะแนน : ★★★★

ส่วนอันนี้อ่ะ ไม่มีรูปแน่ ๆ เพราะโง่มาก เขาให้ฝากกระเป๋า
เราก็คิดว่าจะต้องฝากทุกอย่าง เลยเอาโทรศัพท์ใส่กระเป๋าไปแล้ว
พอเข้ามาข้างในเริ่มเข้าแถว มีป้ายติดไว้ว่า 'เตรียมโทรศัพท์ของคุณพร้อมหรือยัง'
ว้อททท คือมันจะมีแอพให้โหลด เพื่อเล่นเกมแล้วก็โหลดรูปตอนเล่นเสร็จแล้วไปซื้อ
เลยต้องเดินต่อแถวไปแบบไม่มีโซเชียลมีเดียอ่ะแกร 555555

ไปขโมยรูปจากในเน็ตมาก่อน

เอามาจากเว็บ USJ เหมือนเดิม

(9) Harry Potter and the Fobbiden Journey (ใช้ Express เลือกเวลา 17.00 น.)
คืออันนี้ไม่ต้องคอมเม้น เพราะอินมาก ชอบหนังอยู่แล้ว คาดหวังไว้เท่าไหร่ก็ได้เท่านั้น จบ
คะแนน : ★★★★★

อันนี้ก็ไม่ได้ถ่ายรูปมา เพราะต้องฝากกระเป๋า แต่ถือโทรศัพท์มานะ
แต่ว่าตอนที่ได้ขึ้นเครื่องเล่น ทุกอย่างมันผ่านไปไวมาก ด้วยอนุภาพแห่ง express
เลยไม่มีเวลาได้ถ่ายรูปตรงเครื่องเล่น ถ่ายมาแต่ระหว่างทางมืด ๆ

อันนี้เนื้อมันเหมือนผ้าใบที่เป็นภาพวาดจริง ๆ แต่เป็นภาพเคลื่อนไหวอ่ะ เจ๋งมาก
ฮือ คิดถึง อยากเล่นอีก ถึงจะแอบเวียนหัวเล็กน้อยตอนแข่งควิดดิชก็ตาม 55555

มาดูบรรยากาศรวม ๆ ภายในสวนสนุกกันดีกว่า

MASTER OF THEME DRESSING
ชอบน้องสับปะรดมากก น่ายั้กก

หมวดหมู่แรกคือการเป็นผู้นำในการแต่งตัวเป็นธีม คือแค่ดูยังสนุกเลยอ่ะ
มันสดใส ซาบซ่า เท่ เก๋ น่ารัก ดีไปหมด ไม่ต้องเขินต้องอายเพราะใคร ๆ ก็ทำ

นอกจากเจ้าสับปะรดแล้วก็ยังมีเจ้าฟักทอง กับคุณพยาบาลผี

CROWDED PEOPLE
วันที่ท้องฟ้าแจ่มใสกับผู้คนมากมายในสวนสนุก

MASCOT POWER
มาสคอทก็เยอะตามประสา

แบบนี้เรียกมาสคอทได้มั้ยอ่ะ

KIDS ZONE
ขับไปเลยเจ้าหนู!

เข้ามาแล้วสีสดใสม๊ากมาก

HARRY POTTER TOWN
จริง ๆ รูปเยอะกว่านี้มาก แต่กลัวมันจะยาวเกินไป

สอนเปิดประตูด้วยคาถา

บัตเตอร์เบียร์ อร่อยมาก หอม หวาน ซู่ซ่า

MINION ADDICT
แง น้องง พากลับบ้านมา 1 หน่วย

ตอนแรกเราวางแผนไว้ว่าจะใช้ชีวิตใน USJ ทั้งวันทั้งคืน
เพราะเคยถามเพื่อนญี่ปุ่นก่อนมา เขาบอกว่า ช่วงเทศกาลฮาโลวีน
คนญี่ปุ่นจะแต่งตัวเป็นผีมาเดินเล่นกัน แบบวัยรุ่นอ่ะ แค่เดินเล่นเลย
แต่เราคิดไว้ในกรณีที่เล่นเครื่องเล่นได้ไม่ครบมาก ก็จะเก็บเพิ่มช่วงเย็น
สุดท้ายเรากลับเล่นทุกอย่างได้ครบและปิดจ๊อบที่แฮรี่พอดี แถมพาเหรดก็ได้ดูแล้ว
ก็เลยตัดสินใจกลับเพื่อพาพี่เจไปช้อปปิ้งรองเท้า 1 คู่ ในห้างที่มาวันก่อนเพราะแอบส่องไว้แล้ว
จำชื่อห้างได้พอดี Yodobashi-Osaka

หลังจากได้รองเท้าสบายใจแล้ว ก็กลับไปหาอะไรกินที่ Dotonbori ซึ่ง
แง ไม่อยากพูดถึง มันเป็นมื้อบูด คือเรายังไม่ได้รับทานราเม็งเลยตั้งแต่มา
แล้วคือนัดเจอกับรุ่นพี่ที่ไปเที่ยวเหมือนกัน เพื่อกินข้าวเย็น แล้วเราก็บอกให้ไปกินราเม็ง
แล้วมันก็ไม่อร่อยอ่ะ แบบฮาจิบังยังอร่อยกว่า 18 เท่าเลยอ่าาาา

แปะไว้เป็นอนุสรณ์ เรากินเบอร์ 13 เป็น Hot SPICY Noodles ที่จืดมาก 55555

เลยต้องไปกินทาโกะยากิล้างปากเล็กน้อยก่อนแยกกันกลับ
ทาโกะร้านนี้มีรสเกลือด้วย อร่อยแปลก ๆ ดี

ก่อนแยกกันแบบจริงจัง พี่เบสถามขึ้นมาว่า ไปร้านดองกี้กันมาหรือยัง
ซึ่งสาบาน เราหาไม่เจอ 555555 คืออาจจะไม่ได้ตั้งใจหากันด้วยมั้ง
แต่มันอยู่ตรงที่ทำให้เราเป็นคนโง่มากเลยอ่ะ ต้องขอเท้าความก่อนว่า
พี่เจชอบงักกี้มาก และตั้งใจว่าจะมาหาบิลบอร์ดที่งักกี้เป็นพรีเซนเตอร์แล้วถ่ายรูปเก็บไว้
(ปล. งักกี้ คือ ยูอิ อะระงะกิ ที่เป็นนางเอก We married as a job)
แล้วเราก็เจอป้ายจริง ๆ และถ่ายเก็บไว้โดยที่ไม่รู้ว่านั่นคือตึกดองกี้

อันนี้คือถ่ายตั้งแต่คืนแรกด้วยเพราะอยู่ใกล้ที่พัก แบบเดินผ่าน 555555 และอยู่ใกล้ Dotonbori
แล้วไม่ได้ตั้งใจดูเล้ย ว่าน้องกวิ้นที่ยืนน้ำเงินอยู่ข้างล่างนั่นคือดองกิโฮเต้ บ้าบอ
พี่เบสก็เลยเดินมาส่งแล้วแยกย้ายกลับไปเที่ยวต่อตามทางของตัวเอง


 DAY 4 Kyoto Day 02/10/2018 
แผนของเกียวโตถูกย้ายมาไว้วันนี้แทน แต่ก็จะต้องลดบางที่เพราะต้องไปสนามบินเพื่อกลับบ้าน
หลังจากย้ายวันเช่าชุด เราไม่สามารถใช้เวลาเดิมได้ เพราะทางร้านบอกว่าคนเยอะแล้ว
เราต้องมาตอน 11.30 น. แทน ซึ่งทำให้แผนยิ่งพังเข้าไปใหญ่ T^T น้ำตาไหลพราก ๆ

ออกเดินทางเลย ไป!

คุณลุงสองคนนี้ลงไปก่อน แล้วเรามองตามแล้วบังเอิญเห็นสโลแกนที่เขียนบนเสื้อ
ว่า BORN TO WORK เหมือนว่าจะเป็น worker แต่ดูสะอาดมากกกก
แต่สโลแกนคือแบบ 55555555 อ่านแล้วทั้งขำและเศร้าในเวลาเดียวกัน

ถึงแล้ว เย้!

ที่สถานีเกียวโต ป้ายรถเมล์จะมีหลายจุด แต่ละจุดก็จะมีหลายสาย หลายปลายทาง
เราจะต้องสังเกตดี ๆ ว่าจะไปไหน ปลายทางอะไร ต้องนั่งสายอะไร
ถ้ารู้แล้ว ชัวร์แล้วก็มาต่อแถว มีแค่แถวเดียวนะ
ซึ่งถ้ามีคนอื่นที่ไปสายอื่น เวลารถมาถ้าเขาไม่ไปเราก็แซงไปขึ้นได้เลย

จอบนรถซึ่งมีประโยชน์มาก บอกป้ายต่อไป บอกวิธีจ่ายเงิน ฯลฯ

แต่งกิโมโนแบบเต็มยศต้องแต่งหน้าด้วย

(1) Kiyomizu-Dera (วัดน้ำใส)
การเดินทางไปยังวัดน้ำใสมีแค่รถบัส เราจะต้องนั่งทั้งไปและกลับ
อันนี้คือชะโงกของจริง เพราะลงจากบัสแล้วก็จ้ำอ้าวขึ้นไปยังวัดเลย ถ่ายรูป นั่งพัก
แล้วก็เดินลงมา อาหารของกินอะไรก็ไม่ได้ซื้อ ไม่ได้ชมร้านข้างทางอะไรเลย

ถ่ายภาพร่วมกับสถานที่แบบสำรวม

เนื่องจากวันนี้เป็นวันธรรมดา เด็ก ๆ มาทัศนศึกษาเต็มเลย

ถ้ามาวัดญี่ปุ่น ก็ต้องตักน้ำมาล้างมือ ล้างหน้า หรือดื่มเพื่อขอพรซักหน่อย

ไปต่อ!

เด็กนักเรียนเต็มไปหมด

ในรูปนี้มีเราอยู่ด้วยนะ 555555555

(2) Kimono Rental Wargo (เช่าชุด)
ต้องรีบออกจากวัดน้ำใสมาเพื่อเช่าชุดให้ทันเวลา เดี๋ยวหลุดคิว
ร้านอยู่ในเกียวโตทาวเวอร์ ขึ้นไปแล้วเจอเลย ทั้งชั้นมีแค่นั้น อยู่ใกล้สถานีเกียวโตมากกก
ขึ้นไปพนักงานหน้าเค้าท์เตอร์ก็จะขอเลขจอง ขอชื่อ เพื่อเอาไปดูเทียบกับใบจอง
แล้วก็แนะนำให้เราเลือกชุด เนื่องจากตอนแรกเราจองไปเป็นยูกาตะ
แต่เดือนตุลาคมจะปล่อยให้เช่าแค่กิโมโน เราเลยต้องใส่เป็นกิโมโนแทน
พอเลือกชุดแล้วก็จะพาเข้าไปแต่งตัว จะมีพนักงานใส่ให้ทีละชั้น
โดยที่เราจะแก้ผ้าจนเหลือแค่ชุดชั้นใน แล้วก็จะมีคนมาใส่เสื้อผ้าให้เรา
แอบยากเหมือนกันนะ แต่ใช้เวลาแค่ประมาณ 15 นาที ไม่นานมาก
ปล. จิ้มดูร้านในลิ้งที่เราแปะไว้บนชื่อร้านได้

ปล. ขออนุญาตใช้ภาพใส่ชุดจากสถานที่อื่น เพราะไม่มีรูปหน้าร้านจริง ๆ

(3) Fushimi Inari Shrine (ศาลเจ้าเสาแดง)
สำหรับการมาเที่ยวเกียวโต ศาลเจ้าเสาแดงคือ top wishlist ของเรา เพราะสีของเสา
ต้องการถ่ายรูปด้วย ขอโทษที่ไม่ใช่การมาขอพร 55555555555
และดีใจมากที่ญี่ปุ่นสามารถฟื้นฟูสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ได้เร็วมาก จากพายุมังคุด

มาถึงแล้ว ที่ทางเข้า ...น้อง ๆ งานดีมากเลยจ้ะ 555555 คือให้รูปใหญ่เลยด้วยนะ

หิวแล้วก็ต้องกินหน่อย กินแบบกุลสตรี

เด็ก ๆ โรงเรียนมารูโกะก็มาทัศนศึกษาเหมือนกัน


ปิดท้ายด้วยรูปคู่ที่ตั้งพิงเสาถ่ายเอา 5555555

(4) Sagano Romantic Train
ถ้าดูคำแนะนำการท่องเที่ยวในเกียวโต Sagano Romantic Train ก็น่าจะเป็น 1 ในนั้นเสมอ
ซึ่งมันก็โรแมนติกจริง ๆ แหละ เป็นการนั่งรถไฟชมธรรมชาติ อากาศเย็นสบาย
ชมนกชมไม้ไปเรื่อย รู้สึกไม่มีอะไรจะอธิบายมาก แต่ถ้าได้มาก็ห้ามพลาดเลย
การซื้อตั๋วจะมีทั้งจองและมาซื้อหน้าเคาท์เตอร์ ซึ่งไฮไลท์ของนางเนี่ย
คือรถไฟตู้ใส ที่จะมองเห็นทุกอย่าง 360 อาศา ใครอยากนั่งตู้นั้นก็ต้องจอง
ส่วนเราไม่ได้จองมา ก็เลยต้องนั่งตู้ธรรมดาไปตามระเบียบ แต่ก็เห็นเยอะอยู่ดีนะ
ราคา 620 เยนต่อ 1 ที่นั่ง ไปซื้อตั๋วแล้วจะมีระบุที่นั่งเอาไว้ด้วย แต่ใครมาช้าก็อาจจะได้ตั๋วยืน

หน้าทางเข้าสถานีมีร้านขายมันเผา ข้าวโพด ที่มีป้ายภาษาไทยติดอยู่ด้วย

มู้ดของเกียวโตจะต่างจากโอซาก้าโดยสิ้นเชิงเลย เหมือนกรุงเทพกับชลบุรีงี้

ได้ตั๋วมาแล้ว

ไปขึ้นรถไฟกันจ้าา

วิวระหว่างทาง

รูปที่ระลึกจากการนั่งรถไฟ จริง ๆ มีกรอบด้วย 
ถ้าอยากเห็นตามไปดูเองบนรถไฟ 5555

(5) Arashiyama Bamboo Groves
ลงจากรถไฟที่สถานี Arashiyama Torokko Station แล้วเดินมาต่อ
คนเยอะมากกกกกกกกกกกกก ไม่มีทางถ่ายรูปให้ไม่ติดคนได้เลย
ที่นี่ก็เป็นอีกที่ที่ทำให้ประหลาดใจเรื่องการฟื้นฟูมาก ๆ มันกลับมาแทบจะเหมือนเดิม
คือเหมือนเดิมจากในรูปเว็บท่องเที่ยวที่ดูนะ ของจริงเหมือนเดิมยังไงไม่รู้ 5555

คนเยอะอ่ะ ถ่ายแบบไม่มีคนไม่ได้เลย ไม่ได้จริง ๆ ค่ะคุณแม่

อ่ะ พยายามสุด ๆ ละ

(6) Togetsukyo Bridge
หลังจากออกจาก route ป่าไผ่ก็เลี้ยวขวาเดินตรงมาเรื่อย ๆ ก็จะมาถึงสะพาน
มีร้านอาหาร ขนม ไอติมอะไรให้แวะดูแวะชมแวะเสียตังนิดหน่อย

อ่าาาาาาาห์ มาถึงแล้ว

ผู้คนพลุกพล่าน แต่มันไม่มีที่ให้นั่งอ่ะ

ตอนแรกคิดว่าเป็นสะพานที่ให้เดินอย่างเดียว แต่มีรถสัญจรด้วย

ได้แค่แว้บมาดู เพราะกลัวไปขึ้นเครื่องไม่ทันแบบเด๋อ เด๋อมาก
เพราะจริง ๆ บิน 23.55 แต่ข้าพเจ้าจำว่า 21.55 มาตลอดทาง ก็เดินเหมือนตามควายอ่ะมาตลอด
แล้วคือพี่เจมาเฉลยตอนกำลังเดินไปคืนชุดกิโมโนที่ร้านว่า แกรีบทำไม บิน 23.55 ไม่ใช่เหรอ
รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงแก้วแตกในหัวอ่ะ แบบความหวังทั้งหมดพังทลาย 555555

แต่ก็เลยตามเลยและกลับมากินราเมงมื้อสุดท้ายในสถานีนัมบะก่อนกลับไปเอากระเป๋า

Goodbye Kansai Meal

และกลับมานัมบะอีกครั้งเพื่อต่อรถไฟสายนันไกไปสนามบิน
รูปแบบย้อนกลับตอนขามาเลย แต่ตอนนี้แหละ ช่วงสำคัญที่เฉลยให้เรารู้ว่า
เวลาบนตั๋ว มันคือตอนที่เรากด ไม่ใช่รอบรถ เจ้าโง่! 5555555

ความรู้สึกโดยรวมของการไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้ รู้สึกเป็นคนอดทน 55555555
ต้องมีสติและใจเย็นมาก ๆ ซึ่งปกติเป็นคนแพนิคเลิ่กลั่กมาก ๆ แสดงออกเก่ง

เขียนบล็อกนี่เหนื่อยเท่าไปเดินมา 4 วันเลยอ่ะ 555
เอาเป็นว่าใครอ่านแล้วได้อะไรไปบ้างก็ยินดีด้วย
รวมถึงขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้

ขอบคุณขาทั้ง 2 ข้างของเราที่อดทน
ขอบคุณรองเท้า Adidas ที่ใส่ไป ที่สบายเท้ามาก ไม่ปวดเลย
ขอบคุณพี่เจที่เป็นลม ขอบคุณที่มีทริปนี้ 555555555

KIX04 Kansai เดินทางยังไงอ่า วิธีการเดินทางของเราเองทั้งทริป โอ้โหเยอะแยะ
KIX05 Kansai through my film ฝากภาพฟิล์มไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะ

ส่วนอันนี้เป็นฟิล์มโพลารอยด์ที่ซื้อมาปริ้นรูปเองจาก instax-share เลิฟมาก :3

 จบจ้า

Comments

Popular posts from this blog

KIX04 Kansai เดินทางยังไงอ่า

LHONG 1919 (ล้ง 1919)

KIX03 How to get discount for USJ ticket