Southern Paradise at Hatyai and Lipe 2021

"เตรียมลิสต์ของกินยาวเป็นกิโล แต่สุดท้ายต้องเซย์โน เพราะอะไรไปดูกัน..."

555555TT5555555555 คือคิดคำเกริ่นของทริป แต่มีจุดพีคเยอะมากจนไม่รู้จะชูอะไรก่อนดี
เราเป็นคนชอบเที่ยวมากก ๆๆๆ แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนไปไหนไม่เคยไปถึง
ตั้งแต่ภูชี้ฟ้าคราวก่อนที่ไปไม่ถึงยอดมันยังค้างในใจ คราวนี้ก็อี้กกกกกก ฮือ

อ่ะ มาเตรียมตัวเดินทางกันดีกว่า เริ่มจากการจองตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรม จองทริป จองรถเช่า
จองทุกอย่างแล้วจ่ายเงินไว้ ถึงเวลาไปเที่ยวจะได้รู้สึกจ่ายน้อย ๆ 5555555555
ตอนไปเที่ยวจ่ายน้อยมีอยู่จริง แต่ไม่ใช่กับเรา เค้าไปเที่ยวแบบประหยัดจัด ๆ กันยังไงเหรอ บอกบุญหน่อย

เปิดด้วยภาพจากเกาะยอ

เราจองเที่ยวบินของเวียตเจ็ทแอร์ จองไปก็ท้อใจไป เพราะคราวก่อนไปภูเก็ตกว่าจะโทรติดคอลเซนเตอร์ก็คือหูดับไปแล้ว
ฟังเพลงรอสายจนร้องได้ ฟังจนหลอนหู แต่สุดท้ายก็ได้ตั๋วมา เป็นตั๋ว 0 บาท แต่ราคาไม่ศูนย์เพราะภาษีนั่นนี่อีกบลา ๆ
อย่าคิดจะชะล่าใจหลังจองตั๋วแล้วว่าเที่ยวบินของเราจะคงที่ เราโดนเลื่อนเวลาเที่ยวบินขาไป 2 รอบ
แต่ก็ไม่ถือว่าช้าลงจนทำให้เสียแผนมากนัก ได้ตั๋วมาก็ไปแพลนต่อว่าจะทำอะไรวันไหนยังไงบ้าง
รอบนี้เราไป 5 วัน 4 คืน โดยที่จะอยู่เที่ยวหาดใหญ่ก่อน 2 วันแล้วเดินทางไปสตูลเพื่อเที่ยวเกาะหลีเป๊ะ เป๊ะ เป๊ะ เป๊ะ เป๊ะะะะะะ
โดยที่หลีเป๊ะเนี่ยจะเป็นทริปแบบ 3 วัน 2 คืน ไว้ทำบล็อกแยกอีกอันนึงเลยแล้วกัน แต่เนื้อหาเหมือนกัน 555555555

เที่ยวบินของเวียตเจ็ทแอร์ขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิเท่านั้นนะจ๊ะ
(เวลาของเที่ยวบินขาไปล่าสุด หลังโดนเลื่อนมา 2 รอบ)

ตอนแรกเรายังเข้าใจว่าหาดใหญ่เป็นจังหวัดอยู่ ที่ไหนได้ เขาอยู่ในจังหวัดสงขลาาาาาาา 
แต่เพราะว่าหาดใหญ่เนี่ยเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่ออยู่เหมือนกัน ก็เลยดูสแตนอะโลนนิดนึง
พอพูดถึงหาดใหญ่ ทุกคนก็จะแบบ ไก่ทอดหาดใหญ่ใช่ม้ะ ใช่ มันต้องกินนะ ไปหาดใหญ่ต้องกินไก่ทอด
ไหนจะติ่มซำ บะกุ้ดเต๋ ร้านดังนั่นนี่อีกมากมายหลากหลาย ไม่ว่าจะของคาวหรือหวาน เราต้องรับทานให้เรียบบบ

ได้ตั๋วแล้วก็ไปเดินทางกันดีกว่า เย้

✈ DAY 1 : 26 MARCH 2021 

เราวางแผนจะเอารถมาจอดที่สนามบิน เพราะว่ามันก็สะดวกดี แถมบ้านเราอยู่ไกลมากกกกกกกกก
นั่งแทกซี่มาก็คือไปกลับแพงกว่าเอารถมาจอดอีกจ้า ไหนจะทางด่วนอีก ถ้ามาเองเราจะเลือกขึ้นหรือไม่ขึ้นก็ได้
นี่คือเอารถมาจอดเก่งมาก จอดจนชิน โซนที่เราจอดก็จะเป็นโซนที่อยู่ติดกับอาคารโดยสารเลย
ราคาแพงหน่อย แต่ไม่ต้องนั่ง shutter bus หรือเดินไกลก็เข้ามาถึงด้านในได้เลย มีทางเชื่อมระหว่างอาคาร
ราคาวันละ 250 บาท (นับเป็น 1 วันตั้งแต่ 8 ชั่วโมงขึ้นไป) จริง ๆ ที่จอดรถก็หายากมากเลยนะในวันนี้
เพราะอาคาร 2 มีการปิดปรับปรุง ทำให้อาคาร 3 รถเต็มมากกกกกก ขับวนไป จนสุดท้ายต้องตัดใจจอดซ้อนคัน

เราทำการเช็คอินออนไลน์มาแล้ว เป็นฟีเจอร์ใหม่ของสายการบิน ที่ตื่นเต้นมากว่าจะทำได้มั้ย
เพราะลองค้นหาเที่ยวบินที่เราจองไว้ผ่านแอพ ทำยังไงก็หาไม่เจอ ตอนนั้นในแป้วมาก แต่คิดว่าระบบคงบ้งเอง
เลยลองเข้าหน้าเว็บแบบหน้าจอคอม แล้วก็กดเช็คอิน สรุปทำได้เว่ย โอเคโล่งอกไป
พอมาถึงสนามบิน เราก็ใช้หน้าจอที่เราเช็คอินไว้ โชว์ให้พนักงานดูได้เลย หรือจะไปปริ้นตั๋วที่เคาน์เตอร์ก็ได้เช่นกัน

ส่วนเราเลือกปริ้นตั๋ว ไม่รักษ์โลกเลย 


ก่อนบินเราก็หาอะไรกินก่อน เพราะตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินข้าวซักมื้อ กลายเป็นรวบ 2 มื้อไปเลยเช้ากลางวัน
ร้านอาหารในสนามบินก็มีหลายรูปแบบให้เลือกสรร ถ้าใครอยากประหยัดหน่อย ก็ไปกินที่ร้านที่อยู่ชั้นล่าง
ที่หน้าตาเหมือนฟู้ดคอร์ทได้ ราคาก็จะไม่แพงมาก มีอาหารให้เลือกหลายอย่าง หรือใครอยากกิน fast food ก็ได้เหมือนกัน

เราลงมากินที่ MAGIC -Food Point- ที่ชั้น 1 แลกคูปองแล้วก็ไปซื้อข้าวกันเล้ยยยยยย


กินเสร็จแล้วก็อย่าโอ้เอ้จ้ะ การมาสนามบินสุวรรณภูมิเหมือนเป็นกรรมอย่างนึงมาก เพราะทางเดินที่แสนยาวไกล
กว่าจะได้ตรวจกระเป๋า กว่าจะมาถึงเกท ต้องเดินไกลมากกกก จนเกือบจะไม่ทันเวลา
ที่จริงคือต้องเผื่อเวลานะทุกคน จะโทษทางเดินไม่ได้ แง้ 

ได้เข้ามาในเครื่อง นั่งเรียบร้อย พร้อมเดินทาง 

ก้อนเมฆปุกปุย มองลงมาเจอหาดใหญ่ และชายผู้โหยหาข้าวเหนียวมะม่วง 

แลนด์กันแบบเปียก ๆ

พอมาถึงที่สนามบินหาดใหญ่เนี่ย สิ่งที่สำคัญมากเลยคือเราจะต้องลงทะเบียนเข้าจังหวัด
โดยการสแกน QR code แล้วก็กรอกข้อมูลว่าเราเป็นใครมาจากไหน

พอได้คิวอาโค้ดหน้าตาแบบนี้ก็เอาไปให้เจ้าหน้าที่ดู เป็นอันเข้าจังหวัดได้


- เช่ารถ -
เช่ารถเป็นอีกเรื่องนึงที่เราเข็ด เพราะเคยเช่าแบบผ่านแอพเอเจนซี่ แล้วต้องจ่ายเงินซื้อประกัน
เพราะไม่มีบัตรเครดิต ส่วนทำไมต้องจองผ่านแอพ ก็เพราะเห็นแก่ส่วนลดลูกค้าใหม่ สุดท้ายจ่ายเกือบเท่าเดิม

คราวนี้เราเลยมองหาเจ้าที่ดูเป็นคนท้องที่มาให้เช่ามากกว่า คนท้องที่ที่ก็ดูคร่ำหวอดในวงการเช่ารถ
เราจองของ 999rent Hadyai มีหลายราคาแล้วแต่รถ ก่อนจองก็ลองถามไปซัก 2-3 เจ้าเพื่อเทียบราคา
แล้วก็เลือกราคาและรถที่เราสบายใจที่สุดเอานะ ส่วนเราจะพิจารณาจากความเร็วในการตอบด้วยประมาณนึง

ของ 999rent จะมีโปรโมชั่นอยู่ด้วย ถ้าโชว์ตั๋วหรือการจองเที่ยวบินไปกลับ จะไม่ต้องจ่ายเงินประกัน
โปรนี้แหละที่โดนใจเจ้มาก เจ้ตัดสินใจไวมาก  ส่วนรถที่เลือกก็คือ Toyota New Yaris ราคา 900 บาท/วัน

ถึงสนามบินถ้าบริษัทรถเช่าไม่โทรมา เราก็โทรไปแจ้งว่าถึงแล้ว ทางนั้นก็จะแจ้งจุดนัดพบให้เราไปรับรถ
แต่จริง ๆ คือบริษัทรถเช่าทุกที่จะเป็นโทรหาเก่งมาก เก่งกว่าแฟนชั้นอีก เครื่องเพิ่งลงแบบล้อร้อน ๆ เลย
ปิดโหมดเครื่องบินคือข้อความเข้ารัวมาก ว่ามีเบอร์นี้โทรมา ก็คุณรถเช่านั่นแหละค่ะ เปงห่วงน้อง


รับรถแล้วก็จ่ายเงิน ตรวจสอบรอบรถเล็กน้อย อย่าลืมดูเกจน้ำมันด้วยนะคะว่าเต็มถังดีมั้ย
พร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันเลยยยยยยยยยยย 

การท่องเที่ยวในจังหวัดสงขลา เราก็ดูรีวิวแล้วก็ตามรอยเอานี่แหละ
มันจะมีสถานที่ท่องเที่ยวหลัก ๆ ที่ทุกคนต้องไป นักท่องเที่ยวทุกคนต้องไป ไปเช็คอิน!
เราก็จดมา อยากไปไหนบ้าง เส้นทางเป็นยังไงบ้าง จะได้ไม่เป็นการขับวนไปวนมานั่นเอง

ต้อนรับกันแบบครึ้ม ๆ 


(1) หาดสมิหลา

สถานที่แรก หาดสมิหลา เป็น 1 ในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดสงขลา
จริง ๆ เราพอจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่มาติดหูก็เพราะคุณเจนนี่ปาหนัน ที่ใช้ aka ว่า สมิหลา J. นั่นเอง ลองไปฟังซิงเกิ้ลได้

ก่อนจะถึงหาดสมิหลา เราก็ขับผ่านหาดชลาทัศน์ยาว ๆ กันก่อน แล้วค่อยมาเจอกับหาดสมิหลา

มีเสื่อให้เช่า แล้วก็ของขายต่าง ๆ หมวกกันแดด หรือจะเป็นว่าวไปเล่นก็มี 


มีเด็ก ๆ มาทัศนศึกษาด้วย


ไฮไลท์ที่จะไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ก็คือ รูปปั้นนางเงือก ที่ทุ้กกกคนจะต้องมาถ่ายรูป ไม่ว่าจะถ่ายร่วมเฟรมหรือถ่ายเดี่ยว ๆ
วันนี้ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ แต่เหมือนจะมีงานรับปริญญา เห็นนักศึกษาใส่ชุดครุยเดินไปเดินมาอยู่
ส่วนประวัติของนางเงือกตนนี้ก็มีจารึกไว้ใกล้ ๆ สามารถไปอ่านกันได้ คนอาจจะสับสนกับนางเงือกในเรื่องพระอภัยมณี
แต่อันนี้จะเป็นอีกเรื่องราวนึง คือ ชาวประมงมาเจอนางเงือกที่กำลังหวีผมอยู่
ทำให้นางเงือกตกใจจนทำหวีตกไว้ ก่อนที่จะหนีลงทะเลไป
ชาวประมงคนนั้นก็เก็บหวีไว้ รอว่านางเงือกจะมามั้ย แต่ก็ไม่มาอีกเลย
ก็เลยมีการเล่าปากต่อปากและทำรูปปั้นเป็นอนุสรณ์ไว้นั่นเอง

ต่อแถวรอคิวถ่ายรูป 

นอกจากการมาพบปะนางเงือกแล้ว ยังมีกิจกรรมอีกอย่างนึง ที่เราก็ไปทำด้วยแบบงง ๆ ก็คือขี่ม้าถ่ายรูป
นี่! เป็น! ครั้งแรก! ที่ดิฉันขี่ม้า กรี๊ดดดดดด! ตอนแรกก็ไม่เอา เพราะใส่กระโปรง ยังไง จะนั่งได้ยังไง
แต่พี่เจก็เร้ามาก แกขี่ดิ นั่งได้ ขี่เลย ครั้งเดียวในชีวิ้ตต ดิฉันก็คือทนแรงยุไม่ไหว บวกกับราคาแค่ 50 บาท
ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ได้กลัวม้าหรอก กลัวตกจากม้ามากกว่า 5555555555555555555555


เจ้าม้าที่เราขี่มีชื่อว่า "ไมเคิล" เดินนิ่งมากก พี่คนดูแลเขาก็แนะนำว่า ให้เราทำตัวตามสบาย อย่าเกร็ง โยกไปตามที่ม้าเดิน
ซึ่งยากมากจ้า ครั้งแรกอะ ใครจะไม่เกร็งวะ แต่พอเขาบอกว่า ถ้าเกร็งจะตกจากม้าได้ ตัวชั้นนี่เหลวเลย
นอกจากการดูแลดุจเจ้าหญิงแล้ว พี่เขายังถ่ายรูปให้เยอะมากกกกกกกกกก มุมนักท่องเที่ยวอะ 5555555


ถ่ายรูปคู่ให้ซะด้วยย 

เดินถ่ายรูปเล่นนิดหน่อยก็พามาลง ซึ่งสรุปดิฉันก็นั่งคร่อมนั่นแหละ จะห่วงกระโปรงทำไมก่อน

นอกจากไมเคิลแล้วก็มีตัวอื่น ๆ ให้บริการด้วยนะ ส่วนขวาสุดนั่นไม่ใช่ม้านะค้าบ 555555

อีกรูปปั้นนึงที่มีเรื่องราวบริเวณนี้ก็ รูปปั้นแมวกับหนู เป็นเรื่องของการหลบหนีของแมวกับหมาจากเรือประมง
ที่ได้หนูช่วยไว้ อันนี้ออกแนวแฟนตาซีเลย อ่านเรื่องราวแล้วก็สนุกดี 



บริเวณใกล้ ๆ ก็จะมีอาหารกินเล่นขาย ลูกชิ้น ของทอด เครื่องดื่ม น้ำเปล่าน้ำอัดลม ไอติม
เดินเล่นเสร็จก็มาหาซื้อหากินกันได้ ส่วนเราเจอแม่ค้าหลับหลายร้านมาก เพราะคนน้อยจริ้งงงง


มาดูบรรยากาศอื่น ๆ บริเวณนี้กัน

มีซุ้มประตูเมืองขนาดย่อมตั้งอยู่ด้วย

ศาลาพักผ่อนหย่อนใจ

วงเวียนหาดสมิหลา


(2) เขาตังกวน
[เวลาทำการ: 8.30 - 18.00 น.]

ที่ต่อมา ไปดูวิวกันหน่อย ออกจากหาดสมิหลามาไม่ไกลมากก็จะเจอเขาตังกวน มีกระเช้าให้ขึ้นด้านบน
ค่ากระเช้าคนละ 30 บาท พนักงานดูแลกระเช้าบอกว่า ปกติได้เงินจากนักท่องเที่ยววันละ 2 - 3 หมื่น
ทุกวันนี้เหลือแค่หลักพัน แบบพันกว่าบาทเท่านั้น เพราะเคยอาศัยนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นส่วนใหญ่เช่นกัน

ไม่ว่าจะชาวไทยหรือต่างชาติก็ราคาเท่ากัน คิดดูว่าเมื่อก่อนคนจะมหาศาลแค่ไหน

ขึ้นลิฟต์กระเช้าไปกัน 

วันนี้อากาศร้อนมากกกกกก จริง ๆ ก็ควรร้อนแหละเพราะที่นี่ประเทศไทยในหน้าร้อน เลยรู้สึกเพลียไวมาก
ขึ้นมาถึงด้านบน จะมี 2 ทางเลือก คือวิวทะเลกับวิวเมือง วิวทะเลก็คือ สิบ สิบ สิบ ไปเลยจ้า สวยมากกกกก
แต่อาคารที่เดินลงมาดูวิวร้างไปแล้ว น่าสงสารมากกก เพราะถ้าที่พนักงานบอกคือด้านบนนี้จะมีร้านค้า
แต่ตอนนี้ไม่มีใครขึ้นมาขายอะไรแล้ว เพราะมันไม่มีคนให้ขาย ก็ต้องยอมแพ้กันไป



อาคารที่ดูเก่ามาก ๆ ไม่ได้รับการบูรณะและรกร้าง เพราะไม่มีงบแล้วง่ะ

ก่อนจะเดินไปถึงฝั่งวิวเมือง ก็จะมีประภาคารที่ถูกสร้างไว้ตั้งแต่สมัย ร.5 มีพระเจดีย์ให้บูชาได้
แล้วก็จะมีศาลาพระวิหารแดง ที่ต้องเดินลงไปด้านล่าง จากลานพระเจดีย์ ซึ่งขอสารภาพว่าขี้เกียจ 55555555
เพราะนึกถึงตอนเดินขึ้นแล้วก็คือ โอเคจบเลิก แต่ตอนหลังมานึกเสียดายนิดหน่อย แง้
จากนั้นก็จะเลยไปเจอลานชมวิวเมือง มองไปเห็นเมืองสงขลาที่แออัด และวิวทะเลด้านขวามือ


เจดีย์และประภาคาร


ลงมาถึงลานชมวิว เหมือนคุณพี่กระเช้าจะเล่าว่า จะมีการคล้องกุญแจแบบเกาหลีด้วย
แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่มีนักท่องเที่ยว ก็เลยไม่ทำแล้วเช่นกัน


และก็เดินมาถึงวิวเมือง 

ไฮไลท์ของเขาตังกวน ขอยกให้กับ ฝูงลิง ที่มีเยอะมากกกก มากยิ่งกว่านักท่องเที่ยว
ดูจะไม่ดุร้าย แต่ก็ต้องระวังไว้ด้วย จะเดินจะเหินอะไรก็ให้สอดส่องสายตา
อีกอย่างที่ต้องระวังเกี่ยวกับเจ้าลิงก็คือ รถยนต์ของท่าน อาจจะโดนล้วงแงะแกะกระชากอุปกรณ์ส่วนต่าง ๆ ได้


ชมวิวเสร็จก็ลงมา ไปต่อ!
จริง ๆ นอกจากจะนั่งกระเช้าแล้ว ก็สามารถเดินขึ้นมาจากอีกฝั่งของกระเช้าได้เช่นกัน ขาลากกันไปจ้า


(3) เมืองเก่าสงขลา
Songkla Old Town

ถ้าเทียบกับเวลาที่มี แพลนเราค่อนข้างแน่นไปหน่อย การจะมาเดินเมืองเก่าในช่วงเวลานี้มันดูจะไม่เพียงพอ
เพราะเราตั้งใจจะไปร้านอาหารบนเกาะยอที่ปิดเร็วนิดนึง เลยมีขอบเขตเวลากั้นเราเอาไว้
สุดท้ายหาที่จอดรถ แล้วลงไปเดินได้ไม่เท่าไหร่ ก็ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้เช้า จะมาเดินใหม่ เอาแบบจุก ๆ ไปเลย
(ตอนแรกแพลนว่าตอนเช้าจะไปลิวงศ์ แต่เราไม่ใจพอที่จะทุ่มเทเดินทางเพื่อไปถ่ายรูปอย่างเดียว เลยเทง่าย
เพราะลิวงศ์ใช้เวลาเดินทางไป 1 ชั่วโมงและกลับอีก 1 ชั่วโมง ก็เลยบ้ายบาย ไว้โอกาสหน้าแล้วกัน)

เราจอดรถใกล้กับป้ายพอดี เลยแวะถ่ายหน่อย
ถ่ายด้วยอินเนอร์ พรุ่งนี้เจอกันอีกทีนะคะเมืองเก่า 


จุดที่เราจอดรถใกล้กับธนาคารออมสินที่ทำอาคารน่ารักมาก สีชมพูและสไตล์ที่โดดเด่น
จากนั้นเราก็เดิน ๆ เข้าไป สตรีทอาร์ทด้านล่างจะไล่ลำดับตามที่เราเจอแล้วกัน

มีการติดสปอตไลท์ไว้ที่พื้นด้วย แสดงว่าตอนกลางคืนก็จะมองเห็นเหมือนกัน


โรงแดงสุดฮิตที่ใคร ๆ ก็ต้องมาแวะเวียนถ่ายรูป
วันนี้ข้างในมีจัดแสดงอะไรซักอย่างเลยดูวุ่นวายหน่อย ๆ

แอบดูอะไรคะ

กำแพงน่ารัก แต่น้อยกว่าเรา ทานโทษ

โอเลี้ยงแก้วนึงค่ะ
ขอโทษที่ไม่มีรูปแบบเปล่า ๆ เลย มีแต่เราเข้าไปวุ่นวายย 5555555

แอบดูหนังสือพิมพ์

ชอบแสงสีเหลืองกับเจ้าแมวนี่มาก น่ารักก / ตึกสีสวยดี

สิ่งที่พลาดไป 1 อย่างคือ ขนมไข่เตาถ่าน เพราะตอนแรกยึกยักไม่ยอมจอดรถ เลยไม่ได้ไปซื้อกิน
พอตอนจะกลับก็ไม่ได้วนไปทางนั้นแล้ว แสดงว่าความตั้งใจยังไม่มากพอนะเธอ 555555555555
สรุปอดกินจนกลับมากรุงเทพนั่นแหละ จบ!

เอาล่ะ ได้เวลาอันสมควร ท้องฟ้าก็ดูเริ่มจะมืดครึ้ม เราควรออกเดินทางไปยังร้านอาหารที่ตั้งใจ เพราะปิดแค่ 1 ทุ่มเท่านั้น
ร้านอาหารที่ว่าอยู่บนเกาะยอ ต้องเดินทางข้ามสะพานติณสูลานนท์ และขึ้นไปทางขึ้นเขา ซึ่งชันเว่ออ
ระหว่างทางฝนก็เริ่มตก พอมาถึงเกาะยอ ฝนก็ตกแรงมาก มากจนเลยทางเลี้ยว เลยทางเลี้ยวไม่พอ เลยทางยูเทิร์นอีก
ทำให้ได้ข้ามสะพานติณสูลานนท์ทั้ง 2 อัน สุดว้าว 55555555 ถ้าไม่ติดว่าฝนตก ลงไปถ่ายรูปละเนี้ยยยยย

อนุสรณ์สถานแห่งสายฝน 


(4) Good Mountain Cafe เกาะยอ
[เวลาทำการ: 10.00 - 19.00 น.]

สุดท้ายก็มาถึงจนได้ ฝนเริ่มซาแล้ว แต่ทุกอย่างเปียกหมด ทำให้ไม่สามารถนั่งด้านนอกได้
นี่หาเรฟมาแรงมาก นั่งข้างนอกตรงนี้นะ จะเห็นพระอาทิตย์ตกแบบนี้ มุมนี้ โต๊ะนี้ โอ้ สวยงาม
สุดท้ายไม่ได้นั่งข้างนอก ต้องนั่งข้างใน แถมพระอาทิตย์ตกมองไม่เห็น ตกหลังเมฆกันไป บ้ายย 

มาถึงจะเห็นป้ายเกาะยอท็อปวิว ที่เดียวกันนะคะ ไม่ต้องตกใจ ข้าง ๆ จะมีทางเข้าอยู่ตรงนั้น

หน้าร้านและบรรยากาศที่นั่ง ที่ไม่สามารถนั่งได้แล้ว เปียกก

อันนี้คือทุกคนกลับหมดแล้ว เราอยู่จนปิดร้านเลย เพราะมาช้ามาก

ฝนที่ตกทางโน้น...

...หนาวถึงคนทางนี้ ฮื้อ ตรงนั้นคือพายุฝนที่กระหน่ำ แต่ตรงร้านคือเบาแล้ว

ตรงนี้แหละค่ะ ที่ดิฉันต้องการนั่งชมพระอาทิตย์ตก 

แต่คุณคะ ไม่เสียเที่ยวที่มาเด้อค่ะ อาหารอร่อยมาก แถมเยอะสุด ๆ เราสั่งอาหาร 4 อย่าง เรียกได้ว่าจุก
ไม่สามารถทานหมดได้ เลยห่อกลับ 1 เมนู ที่เหมือนจะเป็นเมนูทานเล่นเบา ๆ เครื่องดื่มก็ดี
ถ้ามาตอนฝนไม่ตกต้องฟินนาเล่มากแน่ ๆ แต่แค่นี้ก็ประทับใจแล้วนะ เสียดายแต่ไม่มาก

กุ้งราดซอสมะขาม  แกงจืดเต้าหู้ไก่สับ  ไก่คั่วพริก 
ไก่คั่วพริกนี่แหละ ที่เหมือนขนม อร่อยดีแต่กินต่อไม่ไหว เลยห่อกลับบ้าน

ยังไม่หมดนะคะ มียำแซ่บทะเล และน้ำแตงโมปั่นด้วย


กินอิ่มแล้วก็ไปเช็คอินกันดีกว่า 


(5) Check-in at Bhava Residence

ที่พักในเมืองทริปนี้เราเลือกพักที่ ภว เรสซิเดนซ์ เก๋กู้ดนะ โลเคชั่นใจกลางเมือง อยู่ตรงข้ามเซ็นทรัล เฟสติวัล หาดใหญ่
ราคาไม่แรง อาหารเช้าอร่อยและหน้าตาน่ารักสวยงามมมม โรงแรมสะอาด อุปกรณ์อำนวยความสะดวกดีมาก
แอร์เย็น ไดร์แรง ทีวีชัด ฝักบัวน้ำนิ่มมาก กระจกบานใหญ่ส่องไปเห็นอนาคตเลยจ้าาา
หาที่ติไม่เจอกันเลยทีเดียว 55555555 พนักงาน แม่บ้าน รปภ. ก็ดีเว่อ เทคแคร์ใส่ใจ
ติดแค่อย่างเดียว อย่างเดียวเท่านั้น ลูกบิดด้านนอกมันหลุดตอนที่พยายามดึงประตูปิด 55555555555
แต่เอาใส่เข้าไปได้เหมือนเดิม ตอนใช้ก็จะระแวง ๆ หน่อยเท่านั้นเอง

มาเข้าห้องกันจ่ะ

ริมประตูจะเจอตู้เสื้อผ้าที่บิ้วอินแบบยกไว้ ให้มีพื้นที่ใต้ตู้สำหรับวางรองเท้า ตู้ในฝันมาก

สมัยนี้โรงแรมชอบทำป้ายให้วางว่าไม่ต้องเปลี่ยนผ้าปู เพื่อไม่ให้เป็นการใช้น้ำยาซักอย่างสิ้นเปลือง รักษ์โลก
และทีวีพร้อมโซนที่สามารถนั่งทำนั่นนี่ได้ ลิ้นชักเยอะมาก ใช้ได้ทุกอัน แต่อย่าลืมของไว้จ้า

กุญแจอย่าทำหายนะ ห้องโดยรวมคือสวยงาม เรียบง่ายดีมาก เตียงนอนสบายเด้อ
ที่ชอบมากอย่างนึงคือถาดสิ่งอำนวยความสะดวกอันนี้ มันครบครัน จัดเรียงสวยงาม ไดร์แรงดีเว่อ!

รูปลักษณ์โซนนี้จะคล้ายอพาร์ตเมนท์หน่อย มีไมโครเวฟไปอีกจ้าาา สะดวกสบายสุด

ห้องน้ำที่แยกโซนเปียกแห้งไว้ชัดเจน กระจกบานใหญ่เบิ้ม

สำคัญมาก! อย่าลืมอ่านแผนผังอาคาร กรณีฉุกเฉิน และบัตรอาหารเช้า (สำคัญเหมือนกัน )


อาบน้ำอาบท่า พักผ่อนตามอัธยาศัย นอนเล่นดูทีวี เอาจริง ขอพูดหน่อย ทีวีนี่คือเรื่องสำคัญมากนะ
ถ้าโรงแรมไหน เปิดแล้วไม่ชัด ไม่มีสัญญาณ ขาด ๆ หาย ๆ ดูไม่ได้ คือไม่รักแล้ว ต้องการดูทีวี 55555

เหมือนคืนแรกจะผ่านไปด้วยดีแล้ว กลับมาเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น อยู่ดี ๆ ก็ปวดท้องตอน 5 ทุ่ม
มันเหมือนจะเป็นเรื่องปกติแหละ เรากินข้าวมา ยังไงก็ต้องปวดท้อง เพื่อระบายของเสียออกจากร่างกาย
เราก็คิดแบบนั้น แต่การถ่ายของเรามันไม่ปกติ มันจู๊ดหนักมาก รอบแรกผ่านไป รอบ 2 รอบ 3 ค่อย ๆ ผ่านไป
สุดท้ายนอนปวดท้องจนเช้า ตัวร้อนจี๋ ลุกเข้าห้องน้ำทั้งคืน จนต้องตื่นขึ้นมาเสิชกันว่าร้านขายยาร้านไหนเปิดแต่เช้าบ้าง

(╥﹏╥) DAY 2 : 27 MARCH 2021 (╥﹏╥)

ผ่านค่ำคืนอันแสนโหดร้ายมาจนถึงเช้าวันที่ 2 ของทริป กลัวมากว่าจะไม่หาย เพราะพรุ่งนี้ต้องไปหลีเป๊ะแล้ว
จะให้พี่เจออกไปซื้อยา เจอร้านที่เปิดเช้าสุดคือ 7 โมง เลยตัดสินใจกันว่า จะไปกินข้าวเช้ากันก่อน

(1) Breakfast at Bhava Residence
[เวลาทำการ: 7.00 - 10.00 น.]

ถึงจะปวดท้องมาก และกินเข้าไปก็ถ่ายอยู่ดี เราก็ต้องกิน ฝืนกินเข้าไป ได้ครึ่งเดียว ปกติไม่เคยกินข้าวไม่หมดเลย
กินไปปวดท้องไป ฮือๆๆๆ พูดถึงการสั่งอาหารเช้าของโรงแรม จะไม่มีรูปแบบบุฟเฟ่ต์ ต้องสั่งเป็นชุดเท่านั้น
ซึ่งโรงแรมจะจัดไว้ 4 ชุดให้เราเลือก ตอนที่เช็คอินพนักงานก็จะถามว่า พรุ่งนี้เช้าเราจะทานอะไร
แล้วก็จะให้คูปองที่เป็นรูปอาหารชนิดที่เราเลือกมา น่ารักมากกก ถ้าพักหลายคืนก็ต้องเลือกแบบวันต่อวัน

อาหารเช้าที่เลือกตอนเช็คอิน พร้อมต้องเลือกน้ำผลไม้ 3 อย่าง เราเลือกน้ำส้มกันทั้งคู่

ห้องอาหารจะอยู่บริเวณชั้น 2 ของอาคาร

มาถึงก็ยื่นบัตรอาหารเช้าให้พนักงาน

และเข้าไปเลือกโต๊ะด้านในได้เลย มีการ์ตูนยามเช้าให้ดู

เธอออออ มันตรงปกเว่ออ น่ารัก สวยงาม แต่ออกจืดไปนิดนึง

แต่อาหารจืดย่อมดีต่อกระเพาะของพี่ในวันนี้ 

เครื่องดื่มนอกจากน้ำผลไม้ในชุด สามารถมาเติมได้ รวมถึงน้ำที่สกัดจากดอกไม้ เก็กฮวยและย่านาง
คือวันนั้นไม่ได้เดินไปดูว่ามันคือย่านาง มาซูมเอาจากรูป ไม่งั้นจะกระดกให้หายไข้เลย



กินเสร็จพี่เจก็ออกไปซื้อยามาให้ เราพิมพ์เล่าอาการเอาไว้จะได้เอาไปบอกเภสัช สุดท้ายได้ยาคาร์บอนกับเกลือแร่มา
แต่เราตัวร้อนมาก ปวดหัวหมดแรงด้วย แต่คุณเภสัชก็บอกว่าให้กินแค่คาร์บอนกับจิบเกลือแร่ แล้วพักผ่อนเอา
เรากินไปก่อนเลย 3 เม็ด ยังไงก็ต้องหายจู๊ดก่อน ไม่งั้นพรุ่งนี้แย่แน่ แผนที่วางไว้ทั้งหมดของวันนี้เป็นอันล้มเลิก
ไม่ไปไหนแล้วทั้งนั้น นอนอย่างเดียว ต้องหาย! ระหว่างนอนเราก็มีลุกมาถ่ายบ้าง
ตัวร้อนสุด แปะคูลฟีเว่อไว้ กินพาราไปด้วย แล้วนอนซุกอยู่ในผ้าห่ม

อ่ะ เมื่อวานดูรูปในห้องไปแล้ว วันนี้มาดูบรรยากาศโรงแรมกันมั่งดีกว่า
ทั้งโซนอาหารเช้า และโซนอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย

มาถึงก็เข้าจอดรถใต้อาคาร และเดินมายังล้อบบี้เพื่อเช็คอิน อย่าลืมวัดไข้เพื่อคัดกรองด้วย

มีพนักงานต้อนรับใส่หน้ากากพร้อม

เข้ามาจะเจอโซนที่สามารถนั่งรอได้ ด้านขวาจะมีห้องน้ำรับรองให้เข้า

อันนี้คือสเตชั่นของพี่ยาม มีความเก๋

โซฟาที่สามารถนั่งรอหรือนั่งพักได้ กับบริเวณโต๊ะที่สามารถมานั่งทำงานได้ อยู่ชั้น 2 หน้าห้องอาหาร

มีมุมให้ถ่ายรูปน่ารัก ๆ



มีลิฟต์ให้บริการ แต่ถ้าขึ้นลง 1 หรือ 2 ชั้นก็ใช้บันไดได้ด้วย ถือเป็นการออกกำลังกายย่อม ๆ

เรานอนจนกระทั่งบ่าย 2 รู้สึกว่าดีขึ้นแล้วแหละ ถ่ายน้อยลง ก็เลยตัดสินใจออกไปข้างนอกกัน
มีแผนที่วางไว้เหลืออยู่ 2 - 3 ที่ที่น่าจะไปไหว ก็เลยอะ ไปหน่อยละกัน
ที่แรกเป็นร้านอาหารที่อยู่ในป่า บรรยากาศในรีวิวดีม้ากกกก สถานที่จริงก็ดีมากเช่นกัน
เส้นทางที่ไปร้านอาหารผ่านป่ายางตลอดเส้น แถมไม่ค่อยมีรถวิ่งเลย ส่วนตัวมาก เป็นถนนของเรา

 สวยยยยย 


(2) แลผาคาเฟ่
[เวลาทำการ: 8.00 - 19.00 น.]

เนื่องจากยังไม่มีอะไรตกถึงท้องก็เลยต้องไปกิน กินให้มันขับออกมา จะได้หายไว ๆ
เราสั่งพิซซ่าเลย แบบจัดหนักไปนิด 5555555555 แถมกินขนมเค้กอีก น้ำผึ้งมะนาวอีก
แต่ก่อนออกมาคือโด้ปคาร์บอนมาอีก 2 เม็ด น่าจะรอด ดีนะที่ห้องน้ำของร้านคือดีมาก สะดวก


ที่จอดรถของร้านจะต้องโค้งขึ้นเขาเลยไปอีก แล้วค่อยเดินกลับลงมาตรงบริเวณร้าน
ที่นั่งมี 2 โซน ด้านบนกับด้านล่าง คนส่วนใหญ่นั่งอยู่ด้านล่าง เราก็เลยไปนั่งตรงนั้นแหละ

ก่อนเข้าข้างในก็อย่าลืมล้างมือ ใส่หน้ากาก รักษาระยะห่างด้วยนะจ๊ะ

ตัวร้านของโซนด้านล่าง ส่วนที่นั่งจะอยู่ข้างนอกกับธรรมชาติ

วาวววววววววว 

ที่นั่งของโซนด้านบน ที่ดูจะร้อนกว่า แต่ก็สวยงาม

เลือกนั่งได้ตามอัธยาศัยเลยจ้า

อยู่ท่ามกลางต้นไม้ใบหญ้าแบบนี้เลย มองไปทางไหนก็เขียว



นอกจากร้านอาหาร ที่นี่ก็มีที่พักด้วย เป็นบ้านแบบหลัง ๆ บรรยากาศต้องดีมากแน่ ถ้ามาตอนหนาว ๆ คงฟิน
มีแผนที่ให้เราดูอยู่ว่า สถานที่ไหนอยู่ตรงไหนบ้าง มีธารน้ำตกให้ลงไปเดิน เราก็ลงไปกันจ้า ไปแบบไม่ดูสังขาร

ปกติทางร้านจะมีให้มามุงดูการทำพิซซ่าที่ซุ้มนี้ด้วย แต่พอมีโควิดก็เลยเลิกไป

สนามเด็กเล่นขนาดย่อม

นอกจากทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว ที่นี่ก็ยังมีธารน้ำตก ให้ไปชมธรรมชาติกันได้
แต่ว่าต้องเดินลงไปข้างล่าง จะมีป้ายบอกทางอยู่ เราก็เดินตามทางไป


สิ่งที่ปราบเซียนมาก ๆ ก็คือบันไดที่ใช้ขึ้นลง ชันสุด ชันแบบประชด ชันเหมือนอยู่ภูกระดึง
ตอนเดินลงว่ายากแล้ว ตอนเดินขึ้นก็คือตายไปเลย แทบอ้วกแตก T^T

ชมธรรมชาติกันเป็นพิธี  (เรื่องจริงคืออยู่พักเหนื่อย 55555555)


 ตอนกลับขึ้นมาก็คือต้องรอให้พี่เจเอารถมารับตรงตีนบันได เพราะขึ้นไปลานจอดรถต่อไม่ไหวแล้ว 


(3) มัสยิดกลางสงขลา
[เวลาทำการ: 8.30 - 15.30 น. ปิดวันศุกร์ (ด้านนอกเข้าชมได้ตลอดเวลา)]

เราตั้งใจจะมาดูพระอาทิตย์ตกที่นี่ เพราะในรีวิวบอกว่าสวยมาก ๆ ซึ่งก็คือจริง แต่ไม่ได้เข้าไปด้านใน
พอมาดูรูปที่รีวิวด้านในก็แอบเสียดายอีกแล้ว 55555555 มัสยิดคือสวยมากจริง เรียกว่าเข้าใจทำให้เป็นที่ท่องเที่ยว
มีนักท่องเที่ยวมารอถ่ายรูปเต็มเลย เราก็ไม่พลาดแน่นอน ท้องปวดแค่ไหนก็ต้องได้รูป  

เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามมากจริง ๆ

ด้านหน้าก็มีร้านรถเข็นมาขายอาหารจุกจิก อุดหนุนกันได้

ในบ่อน้ำด้านหน้าก็มีปลาให้ให้อาหารด้วย

มองจากฝั่งมัสยิดไปด้านนู้นก็สวยดีเหมือนกันนะ

พระอาทิตย์เริ่มตกลงไปเยอะแล้ว แสงดีมากกกกกกกกก

เนื่องจากไม่ได้เข้าไปด้านใน ก็จะมีแต่รูปภายนอกเต็มไปหมด 555555

พระอาทิตย์ตกก็ได้เวลามื้อสุดท้ายของวัน ถึงเราจะกินได้ไม่มาก แต่ก็ต้องพาพี่เจไปกินข้าว
ในใจวันนี้มีลิสต์ร้านอาหารเยอะมาก โดยเฉพาะไก่ทอดหาดใหญ่ มาหาดใหญ่ก็กินไก่ทอด ใช่มั้ยคะ
แต่เราต้องยกเลิกไป เพราะลำไส้ที่น่าสงสาร และไปจบที่ร้านโชคดี แต่เตี้ยม ติ่มซำ บะกุ้ดเต๋


(4) โชคดี แต่เตี้ยม สาขา 2
[เวลาทำการ: ช่วงที่ 1: 6.30 - 12.00 น.
ช่วงที่ 2: 17.30 - 22.00 น.]

โชคดี แต่เตี้ยมจะมี 2 สาขา แต่อยู่ไม่ไกลกันมานัก เราเลือกมาสาขา 2 เพราะว่าถึงก่อน และปิดช้ากว่า
มาถึงก็อยากทานทุกอย่าง ติ่มซำ 18 เข่ง แต่ทำได้แค่นั่งมองตาปริบ ๆ สั่งติ่มซำมา 5 เข่ง
ส่วนบะกุ้ดเต๋ เคยกินแต่ตอนไปสิงคโปร์ เลยคิดว่าเหมือนกัน แต่มันไม่ใช่ มันมากกว่านั้น
มันจะต้องเลือกองค์ประกอบต่าง ๆ มาใส่ พอเลือกเสร็จเขาก็จะเอาไปต้มให้ เป็นซุปบะกุ้ดเต๋ชามโต
แต่เราไม่ได้สั่ง เพราะกินไม่ไหว 555555555555555555 ร้องไห้ หัวเราะ และร้องไห้อีกที


เข้ามาเลือกที่นั่ง ไปสั่งที่เคาน์เตอร์


แล้วก็รอเขาเอาไปอุ่น...ไม่นานมากก็มาเสิร์ฟ 

เสียดายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย แงแงแง
น้ำจิ้มของภาคใต้จะไม่เหมือนเวลาเรากินกับจิ๊กโฉ่ปกติ แต่จะเป็นซอสพริกและซีอิ๊ว
ถือเป็นคัลเจอร์ช็อคอันนึงเหมือนกัน แต่เราอย่างที่บอกว่าปวดท้อง เลยไม่สามารถลองรสชาติได้อย่างหนำใจ

ด้านหน้าร้านก็จะมีส่วนที่เหมือนศูนย์อาหารกลางแจ้ง มาเลือกกินอย่างอื่นเพิ่มได้

ก่อนจะกลับเข้าที่พัก ก็แวะซื้อของที่จะกินพรุ่งนี้ระหว่างเดินทาง อะไรซักอย่างที่กินได้บ้าง เพื่อไม่ให้หิวจนเกินไป
เพราะช่วงข้ามเกาะมันจะเที่ยง ๆ พอดี เราเลือกไข่ต้มเพราะน่าจะกินง่ายและไม่แสลงท้องมาก หรือเปล่า
และอยู่ดี ๆ ระหว่างที่เดินเลือกอยู่ ก็มีจังหวะนึงที่ปวดท้องจนจะล้ม โอ้มายก้อด ไม่ได้การแล้ว ฉันจะต้องรอด
เลยตัดสินใจไปหาเภสัชอีกครั้ง แต่เป็นคนละร้านกับเมื่อเช้า ทีนี้เรามาเอง ได้เล่าอาการทั้งหมดทั้งมวลที่มี
ก็เลยได้ยาฆ่าเชื้อมากิน บวกกับยาแก้ปวดท้อง และที่สำคัญยาหยุดถ่ายเพราะต้องเดินทางไกล ไม่งั้นจะลำบาก

เจี้ยม!

กลับที่พัก รีบอาบน้ำ กินยา แปะคูลฟีเว่อและนอน 

 DAY 3 : 28 MARCH 2021 

แก มันคือปาฏิหาริย์ ถึงจะไม่หายสนิท แต่ไม่มีการลุกมาถ่ายระหว่างคืน นอนหลับได้ยาว ๆ
ตัวร้อนตอนนอนแต่ตอนเช้าก็หาย ปวดท้องยังมีเล็กน้อย แต่ไม่มากแล้ว ไม่คลื่นไส้ มีเรี่ยวมีแรงแล้ว
ต้องขอขอบพระคุณผู้คิดค้นยาหยุดถ่ายและยาฆ่าเชื้อที่มอบชีวิตให้ดิฉัน 

 Breakfast at Bhava Residence
[เวลาทำการ: 7.00 - 10.00 น.]

อาการดีขึ้นก็ต้องรีบไปกินอาหารเช้า เพื่อเก็บของเตรียมตัวไปทัวร์ วันนี้เรากินเมนูเดิม แต่พี่เจเปลี่ยนเป็นข้าวต้ม
ชั้นหรือเปล่าที่ควรกินข้าวต้ม เรียกว่าไม่เจียมลำไส้ ไม่ เราต้องสู้กับมัน เราต้องกินให้มันรู้ว่าเราจะไม่ยอมแพ้

เปลี่ยนน้ำเป็นน้ำแอปเปิ้ลด้วย 

น่ากินว้อยยยยย 

แต่สุดท้ายก็กินไม่หมดเหมือนเดิม 555555555 อะ ยอมให้ครึ่งนึงก็ได้

จากนั้นก็รีบเช็คเอ้าท์ เอาของขึ้นรถ และมุ่งหน้าไปยังสนามบินเพื่อคืนรถและรอรถตู้มารับกัน
ก่อนจะถึงสนามบิน แน่นอน ตามธรรมเนียมก็อย่าลืมแวะเติมน้ำมันให้เต็มถังก่อน
ปั๊มที่อยู่ใกล้ขาเข้าสนามบินจะมีอยู่ที่เดียวคือ Shell ตัวเลือกอื่นจะไกลเกิน เดี๋ยวเข็มลด 555555

คืนรถแบบงง ๆ ไม่เช็คอะไรมากเท่าไหร่ มีรถมาคืนก็พอแล้ว 555555555555 

𝕃𝔼𝕋'𝕊 𝕊𝕋𝔸ℝ𝕋 𝕋ℍ𝔼 𝕋𝕆𝕌ℝ!

- จองทัวร์ -
เกริ่นเรื่องการจองทัวร์ก่อน เราจองทริป 3 วัน 2 คืนเที่ยวเกาะหลีเป๊ะกับลูกช้างทัวร์
ซึ่งจริง ๆ ก็ดูหลายเจ้ามาก เปรียบเทียบราคาอยู่นานมาก แต่ไม่ยอมตัดสินใจจองตั้งแต่เนิ่น ๆ
เพราะมันจะมีช่วงยึกยักที่กลัวโดนยกเลิกเที่ยวบินเนื่องจากสถานการณ์โควิดในหลาย ๆ จังหวัด
ก็เลยปล่อยเวลามาค่อนข้างนาน และทำให้พลาดโปรของเราเที่ยวด้วยกันไป เกือบเสียดายแล้ว
เป้าหมายคือเน้นราคาประหยัด แต่ได้ที่พักโอเค และโลเคชั่นใช้ได้ แต่จองใกล้ ๆ วันจะไปแล้ว
ทำให้โควต้าโรงแรมของทัวร์เต็มไปหลายที่เหมือนกัน ตัวเลือกเลยไม่ค่อยเยอะ
ครั้นจะให้จองตรงกับโรงแรมก็ต้องยอมรับกันตรง ๆ ว่ามันแพงกว่ามาก ๆ
สุดท้ายเราจบที่โปร 2,990 บาทต่อคนของโรงแรม ศลิษา รีสอร์ท ห้อง Standard ก็คือห้องถูกสุดนั่นเอง
สิ่งที่ได้จากทัวร์ก็ครบครัน รถตู้จากสนามบิน เรือข้ามเกาะ ประกันเดินทางระหว่างทัวร์
บริการถ่ายภาพใต้น้ำโดยกัปตันเรือ (ด้วยอุปกรณ์ของเราเอง จะกล้องมือถือหรือโกโปรก็ว่าไป)
อาหารเที่ยงวันที่ออกทริปดำน้ำ ผลไม้ น้ำดื่ม แต่ก็จะมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ นอกเหนือจากโปรแกรมเช่นกัน
จองเสร็จ จ่ายเงิน ทางพนักงานก็จะส่งโปรแกรมทัวร์มาให้ ออกใบประกันให้ เป็นอันพร้อมออกเดินทาง

//ตัวอย่างโปรแกรมที่ทางทัวร์ส่งให้ ของจริงอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม//


เรามานั่งรอรถตู้มารับที่เซเว่น นัดเอาไว้ 8.30 น. ซึ่งเราก็ทำเวลาได้ดีมาก เพราะมาถึงสนามบินตั้งแต่ 8.15 น.
แต่พอโทรไปหารถตู้สายแรกไม่รับ สายต่อไปไม่ติด ก็เลยรอไปพักใหญ่ เลยเวลา 8.30 น. ไปแล้ว
ลองใช้เบอร์พี่เจโทรไปที่สำนักงานแทน ทางนั้นบอกจะตามให้ รถตู้ก็เลยโทรมาบอกว่า...
เดี๋ยว 9.00 น. จะออกมารับ ให้ไปนั่งรอที่ร้านข้าวหอม (อยู่ข้าง ๆ เซเว่น) เราก็อะ ไปนั่งรอ รอแล้วรอเล่า
โทรมาใหม่ บอกว่ามีลูกทัวร์เที่ยวบินดีเลย์ ไม่ต้องเดาเลยนะคะว่าบินสายไหนมา 55555555
และแล้วก็ถึงเวลา และแล้วเธอก็ต้องไป คนขับรถตู้โทรมาบอกว่า รถจอดหน้าเซเว่น ให้เดินมาขึ้นได้เลย เอ้า!
เอากระเป๋าขึ้นท้ายรถ  รับสติกเกอร์ทัวร์มาแปะไว้ที่เสื้อ แล้วก็ขึ้นนั่งได้ตามที่ว่าง

(1) นั่งรถตู้ 
เราจะต้องเดินทางจากสนามบินหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ไปยังท่าเรือปากบารา จังหวัดสตูล
รอบเรือที่จองไว้คือเวลา 11.30 น. ใช้เวลาในการนั่งรถตู้ประมาณ 2 ชั่วโมง เรียกได้ว่าตูดชากันเลยทีเดียว
(บวกกับถ้าไม่ได้ยาเมื่อคืนก็คือไม่รอดแน่เรา 55555555TT55555)
แต่ถามว่ากลัวไปไม่ทันมั้ย ก็ไม่เลย เพราะพี่คนขับตีนผีเว่อ รีบเหมือนเหลือเวลาแค่ 30 นาที พี่คะ พี่คะะะะะ
ก็เลยได้แต่หลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดทาง ชมวิวข้างทางบ้างเล็กน้อย 

รถตู้ 10 ที่นั่ง แบบ VIP

ตื่นมาชมวิวนิดนึงแล้วนอนต่อ 


(2) ท่าเรือปากบารา

มาถึงท่าเรือก็เอากระเป๋าลง แล้วเดินไปข้างในอาคาร ซึ่งตื่นเต้นมาก เพราะว่าคนขับบอกให้เดินไปที่เคาน์เตอร์
แต่มันยากอะ ไม่รู้ต้องเดินไปตรงไหน เลยเดินวนไปวนมา แล้วก็เดิน ๆ มาตามทาง เจอคนที่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่
เลยถามว่าถ้าจะไปเคาน์เตอร์ที่เราต้องการต้องไปยังไง สรุปคือเดินมาสุดทางก็จะเจออาคารเอง 5555555

ทุกคนก็มาต่อแถวซื้อบัตรกัน

บอกทุกคนไว้นะ ลงจากรถ เดินเข้ามาจนสุด แล้วจะเจอทางเข้าให้ซื้อตั๋วเข้าท่าเรือ ซึ่งจะขายตั๋วอุทยานพ่วงด้วย
พนักงานก็จะแจ้งว่า ตั๋วอันนี้ต้องพกไปทัวร์ดำน้ำด้วยนะ เพราะต้องใช้เพื่อเข้าอุทยาน จะมีเจ้าหน้าที่ฉีกตั๋วอยู่
ตั๋วเข้าท่าเรือคนละ 20 บาท และตั๋วอุทยานคนละ 40 บาท รวมเป็นคนละ 60 บาท

บัตรเข้าท่าเรือกับบัตรอุทยาน ห้ามลืมเอาไปทริปเด็ดขาด

พอเข้ามาด้านในก็ให้เดินไปที่โต๊ะที่เป็นชื่อเดียวกับสติกเกอร์ที่ทัวร์ให้มา ของเราคือสิริบารา
พอไปถึงก็จะมีซองเขียนชื่อเราเอาไว้ เราก็แจ้งว่าชื่อนี้ค่ะ เขาก็จะแนะนำว่า นี่คือตั๋วเรือขากลับ ห้ามทำหาย
เรือที่จะออกของเราคือรอบ 11.30 น. แต่ก็ดีเลย์นิดหน่อยตามสภาพ คนค่อนข้างเยอะ แต่ก็ยังกระจาย ๆ กันอยู่



เราก็รับบัตรคิวมาพร้อมตั๋วเรือขากลับ นั่งรอเรียกตามสีบัตรคิว แล้วก็เข้าแถวขึ้นตามลำดับที่ได้มา
ระหว่างรอก็สามารถเข้าห้องน้ำ หาอะไรกิน หรือเดินเล่นดูรอบ ๆ ได้นิดหน่อย เราก็เลยเอาเจ้าไข่ต้มออกมากินนน
ไม่นานก็เรียกขึ้นเรือ พนักงานจะเอากระเป๋าของทุกคนขึ้นไปไว้บนเรือให้ก่อนแล้ว ส่วนเราก็พกเฉพาะสัมภาระติดตัว
ขึ้นเรือไปก็นั่งตามที่ว่าง และใส่เสื้อชูชีพให้เรียบร้อยเพื่อความปลอดภัย

มีที่นั่งให้นั่งรอมากมาย

พอเรือมา เจ้าหน้าที่ก็จะเรียกตามเลขที่อยู่บนบัตรของเรา

เข้าแถวเพื่อเช็คลำดับของแต่ละคน  ขึ้นเรือกันอย่างระมัดระวังนะคะ

ตามโปรแกรมปกติของการขึ้นเรือสปีดโบ้ทข้ามไปยังเกาะหลีเป๊ะ ก็จะมีการพานักท่องเที่ยวแวะที่ 2 จุด
30 นาทีถึง เกาะที่เป็นที่ทำการของอุทยานแห่งชาติเกาะตะรุเตา
1 ชั่วโมงถึง เกาะไข่ที่มีซุ้มประตูหิน ที่เขาว่าถ้าจูงมือกันเดินลอด จะรักกันตาหลอดไปปปปป


ระหว่างที่นั่งเรือมา มีฝนลงเม็ดเล็กน้อยถึงปานกลาง ทำให้น้ำซัดสาดเข้ามาในเรือ และตูดเปียก
ถึงแม้ว่าจะมีหลังคากันไว้ แต่ก็ไม่สามารถต้านทานได้ สุดจัด 5555555 แต่ทุกคนก็ต้องมาชุดพร้อมเปียกเนาะ


(3) ที่ทำการอุทยานแห่งชาติเกาะตะรุเตา

มาแวะที่จุดแรกตามโปรแกรมกัน ยังมีฝนตก ๆ หยุด ๆ อยู่เล็กน้อย เปียกปอนกันตามประสา
จุดนี้จะให้เวลาประมาณ 15 นาที เดินเล่น ถ่ายรูป ชมธรรมชาติเล็กน้อย
เดินไปเดินมาฝนก็ตกแรงมากเลยจ้ะ ตกอยู่ได้จ้ะ

จอดเรือไว้แล้วก็ให้นักท่องเที่ยวลงไปเดินเล่น

มาถึงแล้วก็ต้องถ่ายกับป้ายด้วย

ทุกคนก็เวียนไปถ่ายรูปริมหาดกัน

บรรยากาศคลีนมากกก ถึงจะมีฝนโปรยปรายก็ตาม


อยู่ได้ไม่นานก็เรียกขึ้นเรือ และพบกับความจริงอันโหดร้าย ว่าจะไม่ได้ไปเกาะไข่ เพราะฝนตกเยอะ ต้องยกเลิก


(4) ถึงหาดพัทยา เกาะหลีเป๊ะ

นั่งสปีดโบ้ทต่ออีก 1 ชั่วโมงก็ถึงเกาะหลีเป๊ะ ลงที่หน้าหาดพัทยา ซึ่งจะอยู่หน้า Walking street พอดี
ก่อนจะมาเกาะหลีเป๊ะ เราดูขนาดของเกาะมาแล้วว่า เราจะสามารถเดินทางบนเกาะอย่างไรได้บ้าง
หลัก ๆ เลยก็คือการเดิน เพราะว่าขนาดของเกาะไม่ใหญ่มาก สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ 
แต่ถ้าใครต้องการนั่งแทกซี่ก็ได้ แทกซี่ที่นี่จะเป็นรูปแบบมอเตอร์ไซค์ 3 ล้อ เช่นเดียวกับรถบริการของที่พัก
บางโรงแรมจะมีพนักงานมารออยู่แล้ว ส่วนของเรา เราโทรแจ้งโรงแรมว่ามาถึงแล้ว พนักงานก็จะออกมารับ
ซึ่งเรือแต่ละลำก็อาจจะมีผู้เข้าพักที่โรงแรมเดียวกันหลายกลุ่ม พนักงานก็สามารถมารับทีเดียวได้
ระหว่างที่ยืนรออยู่นี่ ฝนก็ตกเก่งมาก แต่แดดก็ยังแรงอยู่ด้วย

ลงจากเรือแล้ว เจ้าหน้าที่กำลังขนกระเป๋าของพวกเรามาให้

หน้าหาดอันแสนเงียบสงบ เพราะยังกลางวันอยู่ หลบแดด ๆๆ

เรือจะจอดที่หน้าหาดพัทยา อยู่ตรงทางเข้าวอล์คกิ้งสตรีทพอดี

นักท่องเที่ยวที่ลงมาจากเรือลำเดียวกันและลำอื่น ๆ พอมีคนอยู่นาา

พนักงานมาแล้ว เช็คชื่อกันก่อน สรุปรอบที่มารับนี่มีเรามีชื่อกลุ่มเดียว
นอกนั้นยังมาไม่ถึง และมาถึงแล้วแต่ยังไม่มีชื่อให้มารับ

พี่พนักงานที่โรงแรมมารับเราแล้ววว


ไปนั่งรถ 3 ล้อสุดซิ่งกัน ขนาดรถไม่ใหญ่มาก นั่งได้รอบละ 4 - 6 คนเท่านั้น บวกสัมภาระเข้าไปอีกก็เต็มแล้ว
ระยะทางไม่ไกล นั่งแปปเดียวก็มาถึง ระหว่างทางก็จะผ่านแอ่งน้ำขังที่ฝนตกเอาไว้หน่อย
ผ่านโซนอยู่อาศัย ร้านอาหาร คาเฟ่ต่าง ๆ และส่วนใหญ่ก็จะเป็นที่พัก รีสอร์ท โรงแรม


(5) เช็คอินที่ ศลิษารีสอร์ท

มาถึงโรงแรมโดยสวัสดิภาพ เข้าไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์ ก็จะมี welcome drink เล็ก ๆ ให้ด้วย เป็นน้ำอัญชันมะนาว
พนักงานที่รับเช็คอินก็จะแจ้งเรื่องเวลาอาหารเช้า และให้คูปองมา ขอตรวจดูตั๋วเรือขากลับเพื่อทวนเวลากับเรา
และย้ำให้เราเตรียมตั๋วอุทยานไปดำน้ำในวันพรุ่งนี้ด้วย ให้มาเจอกันที่หน้าหาดเวลา 8.30 น.

ได้รับข้อมูลเรียบร้อยก็รับกุญแจและไปเปิดห้องกัน

Salisa Resort 

ภาพรวมที่พัก ก็จะมีอาคารแบบครอบครัว บ้านเป็นหลัง และห้องสแตนดาร์ดผนังติดกัน

หน้าหาดจะมีร้านอาหารของที่พัก ซึ่งใช้เป็นพื้นที่กินอาหารเช้าด้วย

กินไปชมวิวไป

มีทั้งที่นั่งในร่มและกลางแจ้ง

มีร้านขายของชำเล็ก ๆ ติดกับร้านนวด

มาเช็คอินที่เค้าน์เตอร์ด้านใน พร้อมได้ welcome drink คนละแก้วบวกคูปองอาหารเช้า

ห้องน้ำส่วนกลางน่ารักมาก

หน้าที่พักก็จะมีหาดยาว ๆ เลย ที่พักมีเรือคายัคให้เช่าไปพายได้

โดยฝั่งห้อง standard ก็จะเป็นห้องติด ๆ กันแบบนี้เลย...มาเข้าห้องกันดีกว่า 


เข้ามาก็เอากุญแจเสียบประตู เพื่อเปิดทำงานระบบไฟฟ้า ที่ประตูก็จะมีข้อปฏิบัติต่าง ๆ แปะอยู่
If you smoke จะโดน feed the fish นะ กรี๊ดดด 

เตียงนอนสบายดี แต่ติดที่ขามันโยก พลิกตัวคือกระโด๊กกระเดื่องเว่อ
มีตู้เซฟให้เก็บของมีค่า

ถึงขนาดห้องจะไม่ใหญ่มาก แต่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบอยู่นะ กาน้ำร้อน ไดร์เป่าผม
แถมมีกระเป๋าให้เอาออกไปใช้ได้ด้วย เก๋กู้ด

เข้ามาในห้องน้ำ ดูเก่าไปหน่อย แต่ก็ยังมีเครื่องทำน้ำอุ่นให้ใช้

ทีวีดูได้ สัญญาณชัด แต่จะมีบางช่วงแว้บหายอยู่เหมือนกัน


(6) พักผ่อนตามอัธยาศัย
 Part 1
(เลี้ยวขวาจากโรงแรม เดินไปตามหาด ถ่ายรูปเล่น ชมบรรยากาศ)

เก็บของแล้วก็ออกมาเดินเล่นก่อนพระอาทิตย์จะตก
อย่างที่บอกว่าระยะทางไม่ไกลมาก เราเลยจะเดินเล่นเลียบหาดไปเรื่อย ๆ ว่ามีสถานที่อะไรบ้าง
ฝั่งที่เราพักอยู่คือ ฝั่งหาดซันไรส์ (Sunrise beach) เป็นหาดพระอาทิตย์ขึ้น สามารถดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าได้
โดยหาดหลัก ๆ ของเกาะหลีเป๊ะจะมีอยู่ 3 หาดคือ หาดพัทยา จะครึกครื้นหน่อย ติดกับ walking street
หาดซันไรส์ จะค่อนข้างเงียบสงบ และหาดซันเซ็ท (Sunset beach) เป็นหาดสำหรับพระอาทิตย์ตกนั่นเอง
เราว่าแต่ละหาดก็มีเอกลักษณ์ของตัวเองมาก ต่างกันดี
ใครสนใจหาดไหนก็เลือกที่พักจากหาดนั้นได้ หรือจะเดินเล่นไปดูหาดอื่น ๆ ที่เราไม่ได้พักก็ได้

มาดูบรรยากาศกัน
เอาตัวจุ่มน้ำนิดหน่อยพอ เพราะยังไงพรุ่งนี้ก็ไปเล่นแบบจัดเต็มอยู่แล้ว

วิวทั่วไปเลยก็คือจะมีเรือหางยาวมาจอดเป็นตับ ๆ ลงไปเล่นน้ำได้แต่ระวังใบพัดและสมอเรือด้วย

ร้านนวดหน้าที่พัก


ป้ายบอกทางน่ารักดี ติดอยู่บนตอรากไม้อันใหญ่

เจอบาร์ไว้มานั่งชิลอยู่ 1 ที่ เล็งไว้ ๆ


ระหว่างทางก็จะผ่านที่พักละลานตามาก มีคนเข้าพักนอนพักผ่อนริมหาดประปราย




 Part 2
(เลี้ยวซ้ายจากโรงแรม เดิมไปตามหาด เพราะตั้งใจจะเดินไปดูคนเยอะ และมุมพระอาทิตย์ตกที่ Zodiac)

กลับมาอาบน้ำแต่งตัวใหม่ เตรียมตัวไปกินข้าวเย็น ที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปฝากท้องกับ Zodiac
แต่ไม่ทราบว่าโซนที่ดูไว้มันมีแค่บาร์ที่เอาไว้ดื่มเท่านั้น ถ้าจะกินข้าวคือต้องกินข้าง ๆ ก่อน
เรากะออกมาให้พอดี ๆ กับพระอาทิตย์ตก จะไปลักไก่ดูตรงหาดแถว ๆ Zodiac
แต่พอมาถึงก็คนเยอะมาก เยอะแบบไม่ไหวแล้ว ไม่อยากสู้ แวะดูพระอาทิตย์นิดหน่อย แล้วกลับ


ป้ายโรงเรียนมีความอัลงการมาก มีเด็ก ๆ เล่นกีฬากันอยู่ในสนามด้านใน

นอกจากเด็ก ๆ เล่นกีฬาแล้ว ก็มีชาวบ้าน ชาวประมงออกมาใช้ชีวิตกัน

มาถึงแล้วค่ะ คนเยอะมากค่ะ หิวข้าวค่ะ แต่ไม่มีข้าวให้กินค่ะ

ไม่ได้ถ่ายรูปกับประตูทิพย์อันขวานี่เลย เพราะคนต่อแถวยืดยาว

สุดหาดฝั่งนี้จะมีตรงที่เป็นเหมือนแหลมอยู่ ให้ไปนั่งเล่น นั่งชมวิวได้ ไม่มีอะไรมาบดบัง

พระอาทิตย์กำลังตกแล้ววว

มาเจอทีหลังว่าหาดนั้นคือหาด Bulow คือตรงสามเหลี่ยมนั้นแหละ ถ้าน้ำลงอาจจะเห็นสันทรายขึ้นมาด้วย


(7) Dinner at Salisa Cafe and Restaurant

กลับมาตายรังที่โรงแรม มีอาหารเย็นให้กินเหมือนกัน เพราะมีร้านอาหารอยู่ด้านหน้า
รสชาติอาหารใช้ได้เลย ติดที่มันไปหน่อย แต่ให้เยอะมากก มากกกอีกแล้ว ชาวใต้น้ำใจงามมาก
นอกจากสั่งอาหารแล้ว เราก็สั่งคอกเทลด้วย แบบไม่เจียมลำไส้ ถ้ายังไม่ลืม ลำไส้ยังไม่หายดีค่ะ 55555
แต่จิบไปทีละนิด แล้วไม่หมด เลยขอเอากลับห้องไว้จิบต่อเรื่อย ๆ สุดท้ายไม่ไหว ต้องแช่ตู้เย็นไว้กินต่อพรุ่งนี้ 555555

ภาพรวมอาหารมันไปนิด ทำให้กินแล้วเลี่ยน แต่รสชาติถือว่าดี ปริมาณเยอะ
ต้มข่าไก่ เปาะเปี๊ยะทอด และผัดเปรี้ยวหวาน ข้าวเปล่า 2 จาน

ต้มข่าไก่อันน้ีคือให้เยอะสุด พุงจะแตกกก

โมฮีโต้ของดิฉัน และน้ำมะพร้าวปั่นของพี่เจ

จริง ๆ มีเมนูทะเลเผาด้วย เผากันสด ๆ ให้ดูเลย ใครสนใจก็สั่งได้ 


เกือบจะได้นอนอย่างสงบสุขแล้ว คืนแรกที่แสนสุขสันต์ที่นี่ 
พี่เจที่กำลังจะเข้าห้องน้ำอีกรอบก่อนนอน ต้องพบเจอกับความสยดสยอง 55555555555555555
ขอโทษที่ขำ จริง ๆ มันไม่ขำเลย มันระทึกขวัญมาก คือดีที่ผู้ชายยืนฉี่ ทำให้สามารถเห็นโถส้วมได้
ระหว่างที่กดน้ำ ก็มีคุณตะขาบโดดออกมาจากชักโครก แต่ดิ้นพราดอยู่ในโถ พี่เจก็กรี๊ดออกมาเลย
วุ่นวาย ๆ อยู่พักนึงเลยไปตามพนักงานมา พนักงานก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ตอนแรกมาแค่คนเดียว เก้ ๆ กัง ๆ อยู่
ออกไปพักนึงตามมาอีกคน คราวนี้มันดูสงบลงแล้ว ไม่ดิ้นมาก พนักงานอีกคนเอาที่คีบมาด้วย เลยคีบมันออกไป
พนักงานบอกว่าไม่เคยเจอมาก่อนเลยนะ ไม่รู้มันมาได้ไง เราลองเสิชว่าตะขาบจมน้ำมั้ย
มันก็มีข้อมูลบอกว่าจมอะ ถ้าอยู่ในน้ำจะตาย เลยยิ่งงงว่ามันมาจากตรงไหน สรุปพี่เจนอนเครียดเลย 


 DAY 4 : 29 MARCH 2021 

เอาล่ะ และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่จะพิสูจน์ลำไส้ของเรา ว่าเป็นยังไงบ้างแล้ว
เราแพ็คน้ำเกลือแร่ไปด้วย เพื่อความปลอดภัยของเรี่ยวแรง แต่จากเมื่อวานก็ซ่าได้บ้างแล้ว

 Breakfast at Salisa Resort
วันนี้ต้องรีบตื่นมากินข้าวเช้าเพื่อเตรียมตัวไปทริป อาหารเช้าที่นี่เป็นแบบบุฟเฟต์ ลุกมาตักได้ตามอัธยาศัย
จะมีพนักงานเดินมาถามตามโต๊ะว่าจะรับเมนูไข่อะไร เราก็เลือกไป มี 3 เมนู ไข่ดาว ไข่ม้วน ไข่คน
รายการอาหารเป็นแบบบุฟเฟ่ต์นานาชาติแบบย่อม ๆ มีข้าวต้ม ติ่มซำ สลัด ขนมปัง ซีเรียล ผลไม้ น้ำส้ม

อาาาาาาห์ มารับพลังจากท้องฟ้ายามเช้า เมฆเยอะเว่อ



เนื่องจากออกมาก่อนเวลานิดหน่อย เลยต้องเดินเตร์ดเตร่เล่นก่อน

พนักงานกำลังเร่งจัดพื้นที่เพื่อให้เราไปตักอาหารได้

คิดถึงอาหารโรงแรมแบบบุฟเฟ่ต์มาก อยากตัก ๆๆๆ กิน ๆๆๆ
โซนภาชนะ จานชาม ช้อนส้อม และเครื่องดื่ม น้ำส้ม น้ำเปล่า นม

ชา กาแฟ โอวันติล ติ่มซำ ไส้กรอก ผักผลไม้ จัดไว้อย่างเป็นระเบียบ

วันนี้ได้กินขนมจีบแบบหนำใจแล้ว หลังจากที่พลาดมาจากโชคดีแต่เตี้ยม
ผักสำหรับสลัดก็หลากหลายโอเคดี มีผลไม้ 3 อย่างให้เลือกสรร
มีนมแล้วก็มีซีเรียลให้กินด้วยนะ ถูกใจเรามากก

หิว ๆๆๆ 

เราสั่งไข่คน พนักงานก็เอามาเสิร์ฟ ซาลาเปาไส้ครีม ชิ้นเล็กพอดีคำมาก

มีขนมปังปิ้งด้วยนะ ก็เอาไปเสียบเครื่องปิ้งเองตามที่อยากกิน

และสุดท้ายโซนเครื่องปรุงรส

และไข่ม้วน จัดจานแล้วมีความสุขมาก 

จัดเต็มทุกเมนู

แถวเคาท์เตอร์เช็คอินจะมีป้ายเตือนความปลอดภัยอันนี้ติดอยู่ น่ารักดี

กินเสร็จก็กลับไปเตรียมตัวให้พร้อมออกเดินทาง ยืมกระเป๋าจากในห้องพักไป
สามารถขอยืมผ้าขนหนูจากโรงแรมได้ ห้ามเอาในห้องพักไป ตอนกลับมาก็เอาไปคืนก่อนเข้าห้องพักด้วย
พร้อมแล้วก็ไปกัน ห้ามลืม ตั๋วอุทยาน เด็ดขาด!


 1-day snorkeling trip โดยเรือหางยาว 
จำนวนผู้ร่วมเดินทาง 11 คน เป็นเจ้าเด็ก 1 คน
กัปตันมาพร้อมกับลูกสาว 1 คน ชื่อน้องลาร่า ชื่อเดียวกับเรือ 

ออกเดินทางมาด้วยท้องฟ้าที่ทำท่าฝนจะตกอีกแล้ว มาถึงจุดดำน้ำก็ไม่รอช้า ลง!



หน้ากากดำน้ำ บนเรือก็เอาแช่ไฮเตอร์ไว้ด้วย ใช้อันไหนก็เอาติดตัวไว้ตลอดเลย อย่าไปเผลอสลับกับใครล่ะ


 จุดที่ 1 ดำน้ำ เกาะอาดัง ปะการังแบบก้อน

เห็นเขาว่าจุดนี้เป็นปะการังแบบก้อน แต่ก็ดูจะมีแบบอื่นรวมอยู่ด้วย ตอนที่ดูก็ไม่ค่อยรู้หรอกว่ามันเรียกว่าอะไร
แต่มันก็หลากหลายละลานตาดี พอกลับมาเลยลองเสิชหาเกี่ยวกับปะการังดู เธ๊ออ มันมีชนิดล้านแปด


นอกจากปะการัง แน่นอนต้องมีปลา

หอยเม่นและหอยมือเสือ ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอกปะการัง


ตรงนี้จะเป็นปะการังที่เปลี่ยนสีตอนกระทบกับแสง ตรงที่เป็นสีน้ำเงิน ๆ

ตรงนี้มีปะการังสมองด้วย ไม่บอกก็น่าจะรู้ว่าอันไหน

และดอกไม้ทะเลที่มีเจ้าปลาการ์ตูนนีโม่อาศัยอยู่

ซึ่งดอกไม้ทะเลก็เป็นสัตว์ชนิดนึงที่จัดกลุ่มอยู่ในปะการังเหมือนกัน แต่ว่ามันนิ่มก็เลยพริ้วไหวไปตามสายน้ำ
และจริง ๆ ดอกไม้ทะเลก็มีพิษด้วย แต่ปลาการ์ตูนสามารถอาศัยอยู่ในนั้นได้เพราะมีเมือกพิเศษเฉพาะตัวบนผิว
จึงอาศัยดอกไม้ทะเลเป็นเกราะป้องกันอันตรายจากโลกภายนอกนั่นเอง

ดอกไม้ทะเลจะบานและหุบได้ด้วย ดูจากก้อนสีน้ำตาล ๆ ข้างหลัง ก็คือหุบอยู่จ้า



หมดเวลาสำหรับจุดนี้แล้ว ไปจุดอื่นกันต่อ


 จุดที่ 2 ดำน้ำ เกาะราวี ปะการังผักกาด 

จุดนี้คือศูนย์รวมปะการังผักกาดเลย ไม่มีปะการังแบบอื่นให้เห็นนัก
เป็นใบผักกาดแบบชัดมากกกกกกก เห็นแล้วหิวสลัด





ดำน้ำไป 2 จุดก็ได้เวลากินข้าวกลางวันแล้ว ก็ขับเรือพาเราไปที่พักกลางวันกัน


 จุดที่ 3 พักกินข้าวกลางวัน หาดทรายขาว เกาะราวี

ตรงนี้แหละที่จะได้ใช้บัตรเข้าอุทยานที่เราซื้อมาที่ท่าเรือ ห้ามลืมพกมาเด็ดขาด
ไม่งั้นจะไม่มีหลักฐานในการซื้อ ก็ต้องซื้อใหม่ เพราะฉะนั้นต้องห้ามลืมพกมาเด็ดขาด
มีครอบครัวก่อนหน้าเราบอกว่าคนขับเรือบอกไม่ต้องเอามาได้ ซื้อไป 800 บาทเนี่ย
ตอนแรกบอกโรงแรมบอก พอเจ้าหน้าที่ถามว่าโรงแรมไหน ก็เฉไฉว่าคนขับเรือบอก
คือคิดว่าคงซื้อแล้วจริง ๆ แหละ แต่ลืมเอามางี้ แต่ไม่มีทางที่จะมีคนบอกว่าไม่ต้องเอามา
เพราะทุกคนย้ำมากว่าต้องพก ตั้งแต่คนขาย คนในเรือ พนักงานเช็คอินที่โรงแรม
ก่อนออกมาก็ย้ำอีก ไม่มีทางที่จะมีคนหลีเป๊ะบอกว่าไม่ต้องพกบัตรอุทยานมา!!

เรามาพักกินข้าวกลางวันกันที่นี่ จะมีจุดบริการนักท่องเที่ยวอยู่ มีห้องน้ำ น้ำจืดให้อาบน้ำล้างตัว
มีลานให้นั่งพักผ่อนได้ มีโซนกั้นไว้ให้ดำน้ำตื้นเล่นได้ เราก็รับอาหารกลางวันมาจากกัปตันแล้วไปหาที่กิน

จุดโชว์บัตรเช็คอิน

สัญญาณมือถือไม่มีเลย ไม่สามารถเช็คอินได้จริง 5555555555
ป้ายห้ามสูบบุหรี่ที่กวนตีนมาก อยู่กับคนอื่นก็อย่าสูบเลยน้าา ทำลายบรรยากาศธรรมชาติจ้า

บนเกาะก็จะมีส่วนที่ทำไว้ให้มานั่งกินข้าว สามารถนั่งห้อยขาดูทะเลได้ หรือพักผ่อนหย่อนใจไป

เมนูง่าย ๆ ที่ได้มาคือกะเพราเด็ก กับไข่ต้ม 1 ใบ ตอนนี้กินข้าวได้ปกติแล้ว เย้

กินเสร็จก็นั่งพักไป อย่าลืมเก็บกล่องข้าวไปคืนที่เรือ


เจอเจ้าเสฉวน 1 หน่วย

ได้เวลากลับขึ้นเรือ ตบท้ายมื้อกลางวันด้วยแตงโมฉ่ำ ๆ ก่อนไปดำน้ำต่อ


 จุดที่ 4 ถ่ายรูป เกาะหินงาม ฝั่งหาดหิน

จุดแวะสุดฮิตที่ทุกทัวร์ต้องมา ทุกคนต้องมา คือเกาะหินงาม
แต่ไม่มีอะไรงามไปกว่าดิฉันค่ะ 55555555 ล้อเล่น

เกาะหินงามจะเต็มไปด้วยก้อนกรวดสีดำที่มีลายต่างกันไป ซึ่งตอนแห้งเนี่ย อาจจะยังไม่ดูสวยเท่าไหร่
พอโดนน้ำก็จะมีความมันวาว สะท้อนกันแสงแดดไรงี้ไป ฟีลไข่มุกสีดำอยู่นะ

ใครที่มาดูแล้วห้ามหยิบหินกลับไปเด็ดขาด เพราะมีความเชื่อว่าจะนำพาหายนะมาให้คนนั้น
แต่ถึงจะไม่มีหายนะก็ไม่ควรหยิบกลับไปอยู่ดีน้า ให้มันอยู่ในที่ที่ควรอยู่ดีกว่า


บริเวณขอบก็จะโดนน้ำเซาะอยู่ตลอด ซึ่งทำให้หินก้อนเล็กลงได้


แดดร้อนจนหินแห้งหมดไวมากจ้า


 จุดที่ 5 ดำน้ำ ด้านหลังเกาะหินงาม ปะการังคละแบบ

มาถึงจุดดำน้ำจุดต่อไป อันนี้ก็มีปะการังหลายแบบเหมือนกัน แต่จะมีอยู่แบบนึงที่เห็นเยอะหน่อย
แล้วก็มีดอกไม้ทะเลที่หุบแล้วเป็นสีฟ้า แถมได้เจอกับเจ้าแมงกะพรุนจิ๋วด้วย



ลองไปเทียบดูแล้วไม่แน่ใจว่าคือปะการังอะไรจริง ๆ อะ แต่มีแบบนี้เยอะสุดแถบนี้


เจอเจ้าแมงกะพรุนจิ๋ว


 จุดที่ 6 ดำน้ำ ร่องน้ำจาบัง ปะการังสี 

เฟลมาก ไม่เห็นไรเลย แบบต้องกลับมาซ้ำแน่นอน ต้องมา เพราะดูรีวิวมา มันฟูมาก
จริง ๆ จะต้องเห็นปะการังที่เป็นสี ๆ แต่น้ำตอนนี้แรงมาก แล้วก็ลึกถึง 10 เมตร ทำให้มองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่ปลา
จะต้องเกาะเชือกที่เป็นทุ่นเพื่อเดินทาง ห้ามว่ายน้ำเองนะ เพราะน้ำจะพัดเราออกไป หรือถ้าไหวไปก่อนเลย

พยายามยืดขากล้องและแขนออกไปให้ลึกที่สุด และนี่คือสิ่งที่เห็น

ผู้ที่อยู่รอดในแคมเปญนี้ก็คือ เหล่าไกด์ที่พาพวกเรามานั่นเอง นอกนั้นก็โหนเชือกไปจ่ะ

มองเห็นปลาแค่ตรงผิว ๆ น้ำเลยจริง ๆ  มีปลาตีนแถมมาหน่อย

สิ่งที่พบเจอคือ กระแสน้ำที่แสนเชี่ยวกราก กรี๊ดดดดด 

ข้อมูลปะการังเพิ่มเติม http://www.nemotour.com/knowledge/coral.htm

ครบทุกจุดที่ต้องดำน้ำแล้วก็ได้เวลากลับเกาะ ใช้เวลาตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึงประมาณบ่าย 2 โมงครึ่ง
กลับมาอาบน้ำอาบท่า ไปเดินเล่นในเกาะกัน

ขึ้นจากหาดมาก ที่พักมีที่ให้แวะล้างตัวด้วย


 เดินเล่น

กลับจากดำน้ำก็ยังพอมีเวลาให้เดินเตร็ดเตร่ เราก็เตรียมตัวออกไปกัน กะว่าจะหามื้อเย็นกินด้วย
เมื่อวานเดินเล่นแถบหาดไปแล้ว วันนี้เข้าไปกลางเกาะกันบ้าง ไปเดินดู walking street ว่าเป็นยังไงบ้าง

ออกจากที่พักไปก็จะผ่านโซนที่อยู่อาศัยย่อม ๆ

มีคาเฟ่ที่ดูน่านั่งอยู่ แต่วันนี้ไม่เปิด

เดินไปตามพื้นสีฟ้านี่เรื่อย ๆ ก็จะเจอกับ walking street ได้ง่าย

ซุ้มประตูหินที่ไม่ได้ไปที่เกาะไข่ แวะมาลอดอันนี้แทนแล้วกัน

เจอร้านขายสาคูไส้หมูอยู่ คนอ้วนอย่างเราต้องโดน


มาถึงแยกที่มีเซเว่นก็จะเจอป้าย walking street อยู่

จริง ๆ ร้านปิดเยอะมาก แล้วก็ดูร้าง ๆ หน่อย เพราะไม่มีคนเลย T^T

ใครเดินเมื่อย ๆ ก็แวะมานวดได้ค่ะ

ถึงจะเป็นเกาะไม่ใหญ่มาก แต่ก็มีโรงพยาบาลในเครือโรงพยาบาลใหญ่ ๆ อยู่ด้วย

เดินไปเรื่อย ๆ เริ่มหิว ต้องไปหาอะไรกินแล้วแหละ


 Dinner at Bombay Indian Restaurant
[เวลาทำการ: 11.00 - 23.00 น.]

ก่อนออกมาจากที่พัก พี่เจลองเสิชหาว่ามีอะไรให้กินบ้าง เจอร้านอาหารอินเดีย รีวิวดีเลยแหละ
ก็เลยมาตามรอย กินอะไรก็ได้แล้ววินาทีนี้ เพราะเมื่อวานกินอาหารที่โรงแรมไปแล้ว



ดีตามรีวิวเลยจริง ๆ ให้เยอะ อร่อย บริการน่ารัก เป็นนอบน้อมกันทั้งร้าน ทำตัวไม่ถูกเลย 5555
แต่พอไม่มีนักท่องเที่ยว ทุกร้านก็ดูไม่มีคนเลย หลายร้านก็น่าจะปิดกันไปแล้ว เสียดายนะ

เราสั่งแค่ 2 อย่าง เพราะกลัวจะเยอะไป แต่สุดท้ายก็เยอะไปจริง ๆ จนต้องห่อกลับ
ห่อกลับอีกแล้ว ทำไมคนที่นี่เขาให้อาหารเยอะ แง้ กิน 2 คนไม่ไหวค่ะะะ

นั่งเห็นคนทำนานสด ๆ เลย รสมือที่แท้ และน้ำมะนาวปั่นกับชามะนาวที่มาแบบล้นแก้วเว่อ

เนี่ย เธอ มันมีแค่เนี้ย แต่ชั้นกินไม่หมดอะ มันทำไมมม
นอกจากรสชาติดี ให้เยอะแล้ว ราคาอาหารก็ไม่แพงเลย ดีมากกก


 Sea La Vie Beach Bar
[เวลาทำการ: 9.30 - 2.00 น.]

หลังจากกลับที่พักไปย่อยอาหารที่กินเข้าไปเรียบร้อยแล้ว เราก็ต้องไปต่อ
เนื่องจากเมื่อวานพบว่า Zodiac คนเยอะมาก เลยเลี่ยนใจมาที่นี่แทน ดีมากกก เอาไปเลย 5 ดาว
เจอตอนเดินเล่น สไตล์ดูคล้ายกับ Zodiac แต่ชิลและเงียบสงบกว่า มีโชว์ควงกระบองไฟด้วย

ตอนมาถึงไม่มีลมเลย อบอ้าวมาก นั่งเหงื่อซก ต้องรอซักพักถึงจะมีลมมาบ้าง
แถมยุงเยอะสุด ๆ ดีที่สามารถไปขอยากันยุงมาฉีดได้


อยู่หน้าหาดชิล ๆเลย


ที่นั่งก็มีหลายโซนอยู่ เลือกเอาตามสะดวก
ตอนที่เราไปคนยังไม่เยอะมาก เลยสามารถเลือกที่อยู่ด้านนอกริมทะเลได้

มีทางขึ้นมาด้านบนให้ถ่ายรูปได้

ตกกลางคืนก็มู้ดดีมากกกกก เริ่มมีลมทะเลสาดหน้าแล้ว
นั่ง ๆ ไปมองเห็นฟ้าแลบอยู่ไกล ๆ ฝนอย่าเพิ่งตกนะจ๊ะ
เมื่อวานเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ วันนี้ท้องฟ้าเลยยังสว่างด้วยแสงจันทร์อยู่

ถ้าจะสั่งเครื่องดื่มก็สามารถเดินมาสั่งที่บาร์ได้หลังจากเลือกที่นั่ง เราสั่ง 2 เมนู

Mai Tai: ส่วนตัวเรารู้สึกว่าไหมไทยนัวกว่าที่อื่น ปกติคือสั่งเมนูนี้ตลอด อร่อยเต็มสิบ
Pink Lady: พี่เจบอกให้สั่งเพิ่มอีกซักเมนู เลยเลือกอันนี้ เปรี้ยวโดนใจดีมาก (ในรูปคือเมนูนี้)

ห้องน้ำ ต้องเดินมาเข้าข้างใน งงดิ ทำไมอยู่ดี ๆ พูดถึงห้องน้ำ
เพราะว่า พี่เจอยากไปเข้า แต่ว่าเดินเข้ามาข้างในมันมืดมาก เลยไปตามให้ดิฉันเข้าไปด้วย
ซึ่งมันมืดมากจริง ๆ อาจจะต้องเดินระวัง ๆ หน่อย ถ้าเมาแล้วแนะนำให้พาเพื่อนมา
ส่วนพี่เจคือกลัวกุ๊กู๋ 

ชมแสงสีเสียงกันให้หนำใจ ฝนไม่ตกแล้ว มีแต่ฟ้ามาร้องขู่ แลบขู่

วู้ววว วู้วว 

นั่งอยู่พักใหญ่ ดื่มหมดไป 2 เมนูก็ได้ฤกษ์กลับไปนอนหลับพักผ่อน พรุ่งนี้จะกลับบ้านแล้ว ไวเว่อออ

 DAY 5 : 30 MARCH 2021 

เช้าวันใหม่มาแล้ว วันนี้มีนัดมาดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน รีบออกมาตั้งแต่เช้าตรู่
เมฆเยอะจัด ทับพระอาทิตย์หมดเลย ไม่สามารถมองเห็นเป็นดวง ๆ ได้ มีแค่แสงออกมา
เลยนั่งดื่มด่ำแสงอาทิตย์ลอดเมฆพักใหญ่ ก่อนกลับเข้าไปอาบน้ำมากินข้าวเช้า





กลับมาอาบน้ำแต่งตัว เก็บของ ให้เรียบร้อยพร้อมเดินทาง
ออกไปกินอาหารเช้าเร็วววว วันนี้วันสุดท้าย ต้องจัดเต็ม วู้ว! 

ชั้นรักอาหารเช้าโรงแรมที่สู้ดดดดด

10.30 น. พนักงานขี่มอไซค์พ่วงออกไปส่งที่ท่าเรือบันดาหยาเพื่อกลับฝั่ง
(ก่อนออกไม่วายจะเกิดเรื่อง เพิ่งรู้จากพนักงานว่าจะมีซ่อมไฟ ทำให้ต้องตัดไฟทั้งเกาะ
แต่ถ้าที่ไหนมีเครื่องปั่นไฟของตัวเองก็ไม่โดนไปด้วย ซึ่งโรงแรมแพง ๆ น่าจะมี แต่เราจะกลับแล้วรอดไป)

ขนของขึ้นรถพร้อมออกแล้ววววว 

มาถึงท่าเรือก็เอาตั๋วเรือไปแลก ได้บัตรคิวมา รอเวลาเรือออก เขาก็จะเรียกเราไปขึ้นเรือ


รอไม่ถึง 11.30 น. ก็ได้ขึ้นเรือและเดินทาง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงหน่อย ๆ เพราะยิงตรงเลยไม่ได้แวะไหน
มาถึงท่าเรือก็จะมีพนักงานมารอเช่นเดิม ชื่อเราอยู่คนแรกเลย ว้าว
พนักงานก็แจ้งว่าให้มาขึ้นรถตอนบ่ายโมง เพื่อกลับไปยังสนามบินหาดใหญ่ ระหว่างนี้ก็หาอะไรกินก่อนได้
เราก็ไปซื้อของฝากเป็นขนมขึ้นชื่อต่าง ๆ ของชาวใต้ แบบ 3 กล่องร้อย แล้วก็หาอะไรกินจุกจิก จากนั้นมานั่งรอ


13.00 น. ออกจากท่าเรือปากบารา นั่งรถตู้แบบไม่ได้ขยับเลย ตัวชามากกก หลับเป็นผี
มาถึงสนามบินบ่าย 3 ยังเหลือเวลา 2 ชั่วโมงก่อนเช็คอิน เพราะขึ้นเครื่อง 18.55 น.
แต่ก็ไปไหนไม่ได้แล้ว เลยหาที่นั่งรอ กินข้าวเย็นอะไรไป เวลามันช่างเดินไว แปปเดียวก็ได้เช็คอิน
เข้าเกท รอขึ้นเครื่อง ดีเลย์นิดหน่อย ฝนตกด้วย 


ระหว่างรอเวลาก็กินข้าวกินปลาหน่อยลูกเอ้ย

มารอที่ประตูอย่างใจจดจ่อ

ได้ขึ้นเครื่องมาแล้ว พร้อมกลับบ้าน

เป็นทริปที่น่าประทับใจในตัวยาฆ่าเชื้อมาก ไม่งั้นคงไปดำน้ำไม่ไหว
เสียดายที่ไม่ได้ตะลอนกินต่าง ๆ นานา ทั้งที่มีลิสต์ของกินเต็มมือแท้ ๆ
เสียดายที่สุดก็คงโชคดีแต่เตี้ยมม อยากกินติ่มซำแบบจุก ๆ กรี๊ดดดดดด 


บ้ายบายภาคใต้

Comments

Popular posts from this blog

KIX04 Kansai เดินทางยังไงอ่า

LHONG 1919 (ล้ง 1919)

KIX03 How to get discount for USJ ticket