JAPAN 2019 ✿ โตเกียวคาวาอาซานิกโกะโยโกฮาม่า PART 2
ทริปญี่ปุ่นครั้งที่ 2 ในชีวิต รอบนี้มานานกว่าเดิมหน่อย เพื่อดื่มด่ำให้ได้หลายเมือง
ทำให้งบประมาณค่อนข้างบานปลายเพราะร่วมสนุกแทบทุกกิจกรรมเลยจ้า
แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะประสบการณ์อันล้ำค่าต้องแลกมาด้วยราคาแพง อันนี้คิดเอง 555555
ระยะเวลาของทริปในรอบนี้คือ 8 วัน อิ่ม ๆ เน้น ๆ ทำเอาเลี่ยนอาหารญี่ปุ่นเลย
ตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม - 7 พฤศจิกายน 2562 โดยมีผู้ร่วมทริปทั้งหมด 4 คน
มา! ออกเดินทางไปญี่ปุ่นกันนนนนน
(PART 2: 4 - 7 NOV 2019)
✦ เนื่องจากเนื้อหายาวมาก เราจะทำการแบ่งครึ่งพาร์ทละ 4 วันแล้วกัน ✦
✦ เนื่องจากเนื้อหายาวมาก เราจะทำการแบ่งครึ่งพาร์ทละ 4 วันแล้วกัน ✦
อ่าน PART 1: CLICK
filmed by Parn.
ขึ้นมาบนบัสก็จับจองที่นั่งตามปกติ อย่าลืมสังเกต priority seat และปฏิบัติตามกฎเรื่องการใช้เสียงนะจ๊ะ



เครื่องที่อยากเล่นแต่ต่อแถวไม่ทัน
เครื่องที่อยากเล่นแต่ปิด
จากนั้นผ่านไปพักนึง มีพนักงานที่ตอนแรกมองไม่ออกว่าเป็นพนักงานอ่ะ เดินมาหาพวกเรา ไม่พูดไม่จา
AQUA MUSEUM 



SEA BOAT 
DOLPHIN FANTASY 
FUREAI LAGOON 
UMI FARM 
PLEASURE LAND
ได้ถ่ายรูปกับม้าหมุนแล้ว เย่ แต่อดเล่นอยู่ดี 


ลากกระเป๋าเดินทางกันไปถึงสถานีโตเกียว เราก็จะต้องหาที่ฝากกระเป๋าก่อนที่จะไปเดินเที่ยว
ตอนแรกพยายามหาอันที่เป็นล็อกเกอร์ แต่ทุกอันก็เต็มมาก จริง ๆ มันจะมีจุดให้กดดูตู้ฝากกระเป๋าอยู่ว่าตรงไหนยังว่างอยู่บ้าง
และผลลัพธ์ก็คือ ไม่ดีที่ใดว่างแล้วแม่ เราก็เลยเลือกฝากกับเค้าน์เตอร์รับฝากในสถานีแทน
ซึ่งจริง ๆ ก็ดีมากเลยนะ คนรับฝากน่ารัก แล้วราคาก็ไม่ได้แรงมาก

นี่จ่ะ ฝากกระเป๋าก่อนเดินเที่ยวหาอะไรกินอีกเล็กน้อย
[ตอนเดินเลยเข้ามาลึก ๆ ในสถานีก่อนจะไปขึ้นรถไฟดันเจอล็อกเกอร์ว่างที่ไม่มีโชว์ในระบบอีกเยอะมากกกกกก
ถ้าใครมาที่สถานีโตเกียวแล้วอยากฝากกระเป๋า ลองเข้าไปลึก ๆ ดูก่อน ราคาไม่แพงด้วยจ้า]
เราออกไปนั่งเล่นที่หน้าสถานีก่อนจะคิดว่าหาอะไรกินดีนะ ก็เสิช ๆ แล้วลองเดินไปเดินมา ปรากฏว่าเหนื่อยค่ะ ขี้เกียจแล้ว
เลยเข้าไปหากินไม่ไกลจากสถานีโตเกียวแทน โดยโจทย์คือ ซูชิ เพราะว่าตั้งแต่มานี่เรายังไม่ได้กินซูชิเป็นมื้อจริงจังเลย
การได้มาญี่ปุ่นทั้งที่ก็ต้องรับทานซูชิต้นตำรับป้ะะะะะ เราก็เลยตามหาอยู่หลายร้านจนมาเจอออออ ร้านที่อยู่ใต้ดินของห้าง First Avenue
DAY 5 ❀ NIKKO 4/11/2019
[ใช้ TOKYO WIDE PASS D-1]
ขอยกให้วันนี้เป็นวันที่ทรหดและอดทนที่สุดในทริปนี้เลย พูดถึงแล้วน้ำตารื้นขึ้นมา ความหนาวยังตราตรึงอยู่ในขั้วหัวใจของน้อง
เอาล่ะ เราเริ่มวันด้วยความสดใสก่อน พอวันนี้จะไปนิกโกะ เราก็แต่งตัวให้กลมกลืนกับต้นไม้ด้วยธีมสีน้ำตาลกัน
เดินทางด้วย Tokyo Wide Pass วันแรก และได้นั่งชินคันเซ็นด้วย
การจะเดินทางไปยังนิกโกะก็มีหลายวิธี เวลามากน้อยแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่ก็คือใช้เวลามากเพราะไกล
ส่วนวิธีที่เราเลือก จะอ้างอิงจากการใช้พาส เราก็ต้องเดินทางด้วยรถไฟ JR เป็นหลัก
คุณหัวจรวดมาแล้วว 

ความเร็วสูงสุดของรถไฟชินคันเซ็นสามารถไปถึง 260 กม./ชม. ได้เลย ลองคิดว่านั่งด้านนอกก็คือร่างแหลก
เราเดินทางจากที่พักมาเริ่มที่สถานี Ueno เพื่อไปจองชินคันเซ็นนั่งไปยังสถานี Utsunomiya
สามารถใช้สิทธิ์ Wide Pass จองที่นั่งได้ฟรีเลย พนักงานจะออกตั๋วที่มีที่นั่งระบุเอาไว้ให้เรา
พอถึงสถานี Utsunomiya ก็ย้ายไปขึ้นสาย Nikko Line เพื่อไปยังสถานี Nikko นั่นเอง
(ค่าเดินทางนอกเหนือจากพาส เราใช้บัตรเติมเงินสดประเภทต่าง ๆ แตะเข้าแทน)
มาถึงสถานีแล้ว วังวนการซื้อและใช้พาสของเรายังไม่หมดไม่จบไม่สิ้น
เพราะต้องมาซื้อพาสสำหรับรถบัส นั่งไปเที่ยวยังจุดต่าง ๆ ของนิกโกะอีก
ตอนแรกเราดูพาสในเว็ปไซต์มา เห็นราคา 4,520 เยน ก็คิดว่าคงต้องใช้อันนี้แหละ
ถึงจะไปครบทุกที่ที่เราอยากไป แต่พอมาถึงจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องซื้อพาสนั้นเราก็ไปได้
และราคาที่ต้องซื้อก็ลดลงเกินครึ่ง คือคนละ 2,100 เยนเท่านั้น และครอบคลุมถึง 2 วัน
แถวที่ต่อก็คือ คนไทย 50% ไปเลยจ้าา
ตอนแรกเราไม่รู้ว่าต้องซื้อพาสที่ไหน เลยเข้าไปในห้องที่เหมือนให้ข้อมูลนักท่องเที่ยว Tourist Information Center
โดยเข้าใจว่าต้องเข้าไปซื้อพาสในนั้น รวมถึงมีคนไทยต่อแถวอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง
และวนกันมาถามเรากับเติ้ลว่าต้องต่อแถวนี้หรือเปล่า ซึ่งเราเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เลยตอบไปว่าน่าจะใช่จ้า
พอถึงคิวเราแล้ว เจ้าหน้าที่จะถามว่าเราจะเอาพาสอะไร เราก็เลยยื่นรูปที่หามา ตอนนี้แหละที่พบว่าไม่ใช่
เจ้าหน้าที่บอกอันนี้ซื้อออนไลน์เท่านั้น เขาเลยถามว่าจะไปไหนบ้าง หยิบแผนที่มากางให้เราชี้ ๆ
เขาก็แนะนำ ๆ เขียนข้อมูลพาสที่เราต้องการลงบัตร แล้วให้เอาไปยื่นที่เคาน์เตอร์ซื้อตั๋วอีกที
ก่อนจะซื้อตั๋วบัสก็สามารถมาเช็คเวลาก่อนได้ว่าจะบัสจะมากี่โมงบ้าง จากนั้นก็กลับมาต่อแถวซื้อตั๋วกันต่อ
กว่าจะได้ตั๋วมานั้น ช่างยาวนานเหลื้อเกิน ทำให้รู้เลยว่า มาตายเอาดาบหน้า แม่งเสียเวลาโคตรรร
ก่อนที่จะออกเดินทางด้วยบัส ตอนที่เราไปรอชินคันเซ็น เราซื้อเบนโตะในสถานีมา
แต่ยังไม่ทันหิวเลยไม่ได้กิน เอามากินที่สถานีนิกโกะก่อนไปขึ้นบัสแทน หน้าตาเหมือนห่อข้าวไปโรงเรียน
พอไม่ได้กินแต่แรก เลยแอบชืดนิดหน่อย เพราะข้าวเย็นแล้ว
มีลูกอมเม็ดขาว ๆ แถมมาด้วย ขจัดกลิ่นปากหลังรับทานเสร็จ จริง ๆ น่าจะเป็นลูกอมนมมั้ง 555555
มีลูกอมเม็ดขาว ๆ แถมมาด้วย ขจัดกลิ่นปากหลังรับทานเสร็จ จริง ๆ น่าจะเป็นลูกอมนมมั้ง 555555
และในที่สุดเราก็จะได้ขึ้นบัสแล้ว บอกเลยว่าวันนี้คนเยอะมาก
เพราะว่าอะไรคะ เพราะว่ามันเป็น เป็น เป็นวันหยุดของชาวญี่ปุ่นจ้า
นอกจากนักท่องเที่ยวจะเยอะแล้ว คนญี่ปุ่นเองก็ออกมาขับรถเที่ยวที่นี่เช่นกัน
ทำให้คนยิ่งเยอะมากเข้าไปอีก และรถติดมาก มากชนิดที่แบบ นี่สะพานตากสินเหรอแม่
ผู้คนออกมารอรถบัสกันบริเวณหน้าสถานี พอรถบัสเข้าเทียบชานชาลาก็ต่อแถวเพื่อขึ้นรถ
ขึ้นมาบนบัสก็จับจองที่นั่งตามปกติ อย่าลืมสังเกต priority seat และปฏิบัติตามกฎเรื่องการใช้เสียงนะจ๊ะ
จุดที่เราจะไปเที่ยวหลัก ๆ วันนี้ มีอยู่ 3 ที่ คือ
1. กระเช้า Akechidaira Ropeway ที่ขึ้นไปบนจุดชมวิว
2. น้ำตก Kegon Falls อันนี้เป็นลงไปยังจุดชมวิว
3. ทะเลสาป Chuzenji สุดท้ายเป็นเดินไปยังจุดชมวิว
ส่วนนี้จะต้องนั่งบัสขึ้นเขาไป นานมาก ไกลมาก คดเคี้ยวมากกกก เมามาก
นั่งรถมาพักใหญ่มาก หลับแล้วหลับอีก นานจนไม่มีอารมณ์ชมวิว
สุดท้ายเราก็มาถึงจุดหมายแรกที่ตอนแรกเกือบถอดใจไม่ลง
เพราะไม่อยากรอรถรอบใหม่ รถติดอีก แต่สุดท้ายก็ลงมาแวะจนได้
(1) Akechidaira Ropeway
มาถึงก็ต้องซื้อตั๋วสำหรับขึ้นกระเช้ากันค่ะ ใครที่ซื้อพาสบัสสามารถนำมาเป็นส่วนลดได้ 10%
ต่อแถวรอกระเช้าพักหนึ่ง แล้วก็ไปขึ้นกัน กระเช้าจะจุคนได้ไม่เยอะมาก ประมาณ 10 คน
เพราะขนาดไม่ใหญ่ ถึงจะรับน้ำหนักได้มากกว่านี้ก็เอาคนยัดเข้าไปไม่ได้แล้ว
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงด้านบน ลงไปเดินชมวิว เป็นจุดชมวิวเล็ก ๆ ที่เล็กมากจริง
แต่อากาศก็เย็น ๆ แบบมารับลม พอชมวิวถ่ายรูปเสร็จก็เดินไปขึ้นกระเช้าเพื่อกลับลงมากัน

ขอซื้อตั๋วหน่อยค่าาา
กระเช้ากำลังขึ้นเขาไป

ด้านบนมองเห็นวิวน้ำตกเคงนด้วย
เมฆดี ฟ้าใสนะคะวันนี้
ชมวิวพอหอมปากหอมคอก็ลงมาด้านล่างกัน แวะกินอะไรรองท้องซักหน่อย
ตรงข้าง ๆ ห้องขายตั๋วจะมีร้านขายอาหารและของฝาก เราก็แวะไปโซ้ยมาม่า และของทอดกัน
อันซ้ายอร่อยยย ความ snack ความกรุบกรอบ ไส้แฮมไข่
อย่างที่บอกว่า เราไม่อยากไปรอขึ้นบัสแล้ว แถวก็ยาว คนก็เยอะ รถก็ติด
เลยเปิดแมพดูว่าน้ำตกเคงนต้องไปอีกไกลแค่ไหน แล้วเดินไปได้มั้ย
ปรากฏว่าน่าจะได้ เลยไปถามเจ้าหน้าที่ที่คอยโบกรถว่าเราสามารถเดินตรงไหนได้บ้าง
แต่คาดว่าพนักงานไม่สามารถอธิบายเราเป็นภาษาอังกฤษได้
แต่ก็พยายามทำท่าให้ใหญ่มากกกก จนเราเข้าใจไปเองว่าให้ไปทางนี้ 555555
คือน่ารักมาก ความพยายามช่วยเหลือคือเต็มร้อยไปเลย มีจังหวะที่ทำท่าแบบ บอกยังไงดีวะ ด้วย
ระหว่างทางต้องเดินผ่านอุโมงค์ 2 อุโมงค์ อันสั้นและอันยาว
ระหว่างทางต้องเดินผ่านอุโมงค์ 2 อุโมงค์ อันสั้นและอันยาว
ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่สุดเหวี่ยงดี ไม่คิดว่าจะต้องมาเดินไปเที่ยวแบบนี้
นอกจากพวกเราก็มีคนอื่นเดินอยู่ประปราย ไม่ได้เดินกันเหงา ๆ นะจ๊ะ เดินจนทันบัสที่ผ่านไปแล้วด้วย
(2) Kegon Falls
เราเดินมาระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร กับอีก 3 - 4 ร้อยเมตร
แบบใครเก็บก้าวนะคะ บอกเลยค่ะ มาเดิน ตอนเดินจะผ่านอุโมงค์ที่ยาวที่สุดที่นี่
แอบอากาศหายใจน้อย ถ้าใครที่ร่างกายอ่อนแอหน่อย แนะนำว่าอย่าเดินเลยนะ
มาถึงแล้วว น้ำตกเคงนหนาวมากกก ด้วยความที่เป็นละอองน้ำกระจายออกมา
แถมอยู่ในหุบเขา ก็ยิ่งหนาวเข้าไปอีก และเมนูยอดฮิตของที่นี่คือ ปลาเผา เผา เผา
การมาน้ำตกเคงน ถ้าไม่ได้ลงไปดูข้างล่างก็เหมือนมาไม่ถึงจริง ๆ นะ
ตอนแรกก็ไม่คิดอย่างนั้นหรอก แต่พอได้ลงไปเท่านั้นแหละ โอ้ววว
ช่างคุ้มค่าที่ชั้นเดินมา ไม่ต้องรอรถบัสนานเป็นปี แต่หนาวมากกกกก
มายังจุดที่ต่อแถวเพื่อลงลิฟต์ไปชมน้ำตกกัน
ลงลิฟต์มาแล้วยังต้องเดินเข้ามาด้านในอีก ถึงจะเจอน้ำตก
ด้านในมีจุดชมวิว 2 ระดับ บนล่างแบบเบสิก ฟีลเหมือนกระจายนักท่องเที่ยว
สวยมากกกกกกกกก มากกกกกกกกกก มากกกเลยอ่ะ ภาพที่มีเสียงออกมา ได้ยินเสียงน้ำตกมั้ยคะ
มาหนาวกันพอประมาณเราก็กลับขึ้นไป จริง ๆ ไม่พอประมาณหรอก หนาวแสดด
(3) Chuzenji Lake
ขึ้นมาจากน้ำตกก็เวลาล่วงเลยไปมากแล้ว อากาศก็ยิ่งหนาวขึ้นไปอีก
เราเดินต่อจากน้ำตกมายังทะเลสาป ที่ไม่มีอารมณ์จะดูแล้วเพราะหนาวมาก
สภาพคือวิ่งไปหลบหลังเสาโทโรอิ เพราะลมแรงมากกกกกกกก
แต่จริง ๆ วิวนี้เห็นตั้งแต่ขึ้นไปบนจุดชมวิวแรกที่ขึ้นกระเช้า เห็นจากไกล ๆ ที่ตอนเช้าอากาศยังสบาย ๆ อยู่
หลังจากดูวิว ที่อย่าเรียกว่าดูเลย เราก็พยายามหาร้านอาหารหรือคาเฟ่นั่ง
ตอนนี้ประมาณ 5 โมงเย็นแล้ว ปรากฏว่าไม่มีร้านไหนเปิดให้นั่งแล้ว ใกล้มือและเคว้งคว้าง
เดินวนไปวนมาหวังว่าจะเจอร้านไหนก็ได้ แต่ก็ไม่มี
เราเลยมารอบัสเพื่อกลับลงไปด้านล่างแทน ซึ่งตอนนี้แหละ ตอนที่รู้คุณค่าแห่งการมีชีวิต
เราต้องต่อแถวเพื่อขึ้นบัสกลับลงไปข้างล่าง ก่อนเราจะมาก็มีคนต่ออยู่เยอะมากแล้ว
พอเรามาต่อ ก็นานมากกว่าจะถึงคิว และหนาวมาก หนาวแบบไม่ได้เตรียมตัว เสื้อผ้าน้อยชั้นมาก
และไม่ได้หนาขนาดว่ากันอุณหภูมิ 1 - 4 องศาเซลเซียสได้ ทั้งหนาว ทั้งลมแรง จนท้อแท้กับการต่อแถวมาก
แถมตู้กดน้ำแบบร้อนก็ไม่ร้อนและแทบไม่มีน้ำร้อนเหลือแล้ว ดีหน่อยที่มีคนเอาฮีทเตอร์ออกมาเปิดในสถานี
สามารถทำเหมือนผิงไฟได้ แต่ต้องออกจากแถวไป เหมือนไปพักก่อนนาจา
เราเลยต้องผลัดกันเดินไปผิงไฟ และพักจากความหนาวข้างในสถานี
แถวยาวตั้งแต่ด้านหน้าสถานีมาด้านหลังอีก 10 ขด
แถวยาวตั้งแต่ด้านหน้าสถานีมาด้านหลังอีก 10 ขด

แปะไว้เป็นอนุสรณ์ความหนาวที่ฉันฟันฝ่า
รอรสบัสร่วมชั่วโมงก็ได้ขึ้นซักที แต่ไม่ได้นั่ง ต้องยืนหลับวนไป
ดีใจที่บนรถมีฮีทเตอร์ อุ่นมากกกกกก พอหายหนาวแล้วมือก็ชาไปหมด
ปลายนิ้วไม่มีความรู้สึกแล้วววววว อยู่บนรถบัสอีกเกือบ ๆ ชั่วโมงก็มาถึงสถานีนิกโกะ
ยังค่ะ ดูเหมือนพวกเรารอดแล้วใช่มั้ยคะ ยังค่ะ ไม่ง่ายขนาดนั้นค่ะ ด้วยความที่อยากกลับเข้าโตเกียวแล้ว เลยรีบเข้ามาขึ้นรถไฟ
และใช่ค่ะ เราขึ้นผิดขบวน ขบวนที่เราต้องนั่งไปขึ้นชินคันเซ็นที่ Utsunomiya ยังไม่มา แต่เราขึ้นมาแล้ว และรู้ตัวตอนสาย
แถมในรถก็ไม่มีนักท่องเที่ยวเลยซักคน พนักงานเหมือนเดินมาตรวจตั๋ว เจอพวกเราก็ถามว่าจะไปไหน
พอเราบอกว่า Utsunomiya เจ้าหน้าที่รีบบอกทันทีว่า คันนี้ไม่ไปนะ แล้วก็พยายามหาทางให้เรากลับเข้าโตเกียว
อย่างน้อยมันก็ยังพอไปทางเดียวกัน แต่ปลายทางคนละที่เท่านั้นเอ๊งงงง แง 

เรานั่งรถที่เดินทางไปสถานี Omiya จริง ๆ คือผ่านสถานี Nikko ด้วย แต่ไม่เปิดประตู จอดให้มองแบบอาลัย
มีคนพยายามกดเปิดประตูเข้ามาเยอะมาก ถ้าเปิดได้ก็รบกวนด้วยจ้า ชั้นอยากออกไปเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้
พอรถออกก็มุ่งหน้าต่อไปยัง Omiya มาถึงด้วยระยะเวลารวม 2 ชั่วโมง ง่วงมากกกกก
เราต่อรถไฟจาก Omiya ไป Ueno ประมาณ 5 สถานี โอเค รอดแล้วว้อยยยยยยยยยย
ได้รับการต้อนรับการกลับมาจากภาพน่ารัก ๆ ในสถานีอูเอโนะ 


และเนื่องจากวันนี้มันช่างทรหดเหลือเกินแม่เอ๊ย เราเลยเลือกกินอาหารเย็นที่ง่ายและสบายกระเป๋าที่โยชิโนยะ
คิดว่าจะดีกว่าที่ไทย แต่ก็เฉย ๆ แต่จริง ๆ ไม่เคยกินของที่ไทยนะ 5555555555 เรากินข้าวหน้าปลาไหลที่ไม่ค่อยฟินเท่าไหร่



และเนื่องจากวันนี้มันช่างทรหดเหลือเกินแม่เอ๊ย เราเลยเลือกกินอาหารเย็นที่ง่ายและสบายกระเป๋าที่โยชิโนยะ
คิดว่าจะดีกว่าที่ไทย แต่ก็เฉย ๆ แต่จริง ๆ ไม่เคยกินของที่ไทยนะ 5555555555 เรากินข้าวหน้าปลาไหลที่ไม่ค่อยฟินเท่าไหร่
ขอขอบคุณสังขารของพวกเรา ที่พาตัวเองกลับมาที่พักได้ 

พอกลับมาถึงที่พัก ก็เคลียของในกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวสำหรับพรุ่งนี้ พบ hot pack 4 หน่วย
ที่ใจจริงเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานว่าจะเอาให้เพื่อน ๆ คนละห่อ แต่พอถึงเวลาหนาวจริงก็ลืม ลืมว่าพกมาด้วย
สมองเลอะเลือน ถึงกับขำทั้งน้ามมมตาาาาาาาาา บ้าบอ 



DAY 6 ✦ FUJI-Q HIGHLAND 5/11/2019
[ใช้ TOKYO WIDE PASS D-2]
[ใช้ TOKYO WIDE PASS D-2]
เป็นการเดินทางกลับมาที่คาวากูจิโกะอีกครั้ง เพราะต้องการมาเล่นสวนสนุกฟูจิคิวไฮแลนด์
ที่มีสุดยอดเครื่องเล่นรวมตัวกันอยู่หลายเครื่องเลยทีเดียว จุดมุ่งหมายวันนี้ของเราคือจะมาเก็บเครื่องหลัก ๆ
เลยดูพยากรณ์จำนวนคนในสวนสนุกมาก่อน และปรากฏว่าวันนี้แหละ คือวันที่คนน้อยที่สุด
จิ้มดูพยากรณ์สวนสนุกก่อนได้เลยจ้าา 

กดเลือกเดือนที่เราจะไป ก็จะเจอแบบนี้ เห็นไหมคะสีฟ้าที่วันที่ 5 ทางสะดวกกกก!
เราเดินทางต่างจากวันแรก เพราะวันนี้มี Tokyo Wide Pass แล้ว ก็สามารถใช้พาสเดินทางได้เลย
โดยตอนแรกเราวางแผนว่าจะนั่ง Fuji Excursion น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ต่อเดียว แต่ต้องไปจองเช้า ๆ เพราะเดี๋ยวไม่มีที่
พอมาถึงที่ Shinjuku ตรงปรี่ไปที่สำนักงานและพบว่า ไม่มีที่นั่งจริง ๆ จ้าาาาาาาาา เลยต้องหาทางอื่น
เจ้าหน้าที่ก็แนะนำให้เรานั่งรถไฟแบบ 2 ต่อแทนจาก Shinjuku ไป Otsuki และจาก Otsuki ไป Fujikyu Highland อีกที
จากสถานี Shinjuku ไป Otsuki จะเป็นรถไฟแบบ limited express ที่ต้องจองที่นั่งเหมือนกัน ใช้พาสไป
(ซึ่งรถไฟสายนี้ตอนเรานั่งมันจะลอดอุโมงค์เยอะหน่อย แถมความเร็วค่อนข้างสูง ทำให้หูอื้อมากต้องคอยเคลียหูตลอด)
รถไฟ limited express แบบจองที่นั่ง ใครได้ที่ไหนก็นั่งตามนั้น 

ในรถไฟมีบริการคาร์ทอาหารเครื่องดื่มให้ซื้อด้วย
พอมาถึง Otsuki ก็มีเวลาแวะซื้ออะไรกินเล่นจุกจิกเล็กน้อย แล้วก็เดินตามป้ายมาที่ทางเข้ารถไฟสาย Fujikyu
แล้วต่อรถไฟจาก Otsuki ไปสถานี Fujikyu Highland อีกที สิริรวมเวลาทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมง 

ได้ข้าวปั้นข้าวผัดอเมริกันโปะออมเลตมา 1 ก้อนพร้อมออกเดินทางต่อ
แต่แล้ว มันก็ไม่มีวันไหนหรอก ที่จะเป็นวันที่คนน้อยจริง ๆ แง สุดท้ายก็เล่นได้ไม่กี่เครื่อง
และต้องเสียดายสุด ๆ เพราะไม่ได้เล่นเครื่องที่อยากเล่นแต่กลัว แต่ก็อยากเล่นแต่ก็กลัววอย่าง Takabishi
ที่มีความชันถึง 121 องศา อดเพราะคิวเต็มตั้งแต่บ่าย 3 (สวนสนุกปิด 5 โมง)
แต่ได้เล่น Fujiyama King of Coaster และ Dododonpa ที่ออกตัวด้วยความเร็ว 180 กม./ชม. หน้าแหก
แถมเครื่องเล่นน่ารัก ๆ อย่างม้าหมุนก็ปิดซะด้วย
เสียใจจจจจ 






แต่!! เราลองคำนวณค่าบัตรกับเครื่องเล่นที่ได้เล่นทั้งหมด 6 เครื่องก็คือว่าคุ้มอยู่ ความคุ้มต้องมาก่อนค่ะ
เวลคั่มมมมมมมม 

เราซื้อบัตรผ่าน Klook เช่นเดิม แต่พอมาถึงแล้วก็ต้องมาแลกตั๋วกันก่อน พอแลกแล้วก็ไปสแกนใบหน้า
เพื่อใช้ใบหน้าในการขึ้นเครื่องเล่นแทนการพกตั๋ว แบบแสกนเสร็จก็สามารถโยนตั๋วทิ้งไปได้เลยชิล ๆ
เราชอบวิธีนี้มาก เหมือนพกตั๋วติดตัวไว้ตลอดเวลา คูล ๆ พอไปถึงทางเข้าเครื่องเล่น ก็ต้องไปต่อแถวสแกนหน้าก่อนนั่นเอง




ไปลิสต์สิ่งที่ได้เล่นกันดีกว่า (เราตัดเครื่องเล่นเปียก ๆ ออกไปเลยเพราะหนาวจ้า)
1. Lisa and Gaspard Dairy of Sky Journey 

น้องก้อนเมฆที่เหมือนจะชิลล์ มู้ดแบบชมวิวหรือเปล่า แต่จริง ๆ ก็มีหวาดเสียวนะเอ้อ
ด้วยวิธีการนั่งที่ค่อนข้างแปลกประหลาด และจังหวะการเบรคที่รุนแรงเหลื้อเกิน
ทำให้เครื่องเล่นนี้พอจะเรียกเสียงกรี๊ดจากผู้เล่นได้อยู่พอสมควร 

เป็นเครื่องเล่นเครื่องแรกที่เราเดินผ่าน เลยตัดสินใจเข้าไปเล่นเพื่อประเดิมการมาที่นี่วันนี้
ถ่ายรูปกับแบคดรอปเป็นที่ระลึก
มองเผิน ๆ อาจจะดูไม่สูง ดูเบเบ แต่ในความจริงนั้นน สูงนะจ๊ะ
วิธีการนั่งแปลกประหลาดที่ว่าคือ ต้องนั่งแบบซ้อนกันหน้าหลัง เวลามันเบรคคนหน้าก็ต้องระวังจุกนิดนึง
และขนาดที่นั่งเรียกว่า มนุษย์ไซส์มาตรฐานเท่านั้นที่จะสามารถนั่งลงไปได้ ถ้าตัวใหญ่มาก ๆ ก็ต้องเล่นคนเดียว
เครื่องติดแล้ว ไปต่อกันเลยจ้าา 







ตอนที่เราไป มันจะมีโซนที่จัดธีมเป็นเมืองนารูโตะ เราก็จะต้องเดินผ่านโซนนั้นเพื่อเข้าไปในส่วนอื่น ๆ ของสวนสนุก
ซึ่งโซนนี้ก็มีเครื่องเล่นแล้วก็พิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวกับนินจาอยู่ด้วย แต่จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของเราอยู่ด้านใน
มีร้านอิชิรากุราเมงด้วย ที่เป็นราเมงร้านโปรดของนารูโตะ สมจริงสู้ดดดด
2. Paniclock
มาต่อกันที่เครื่องที่ 2 ดูหวาดเสียวไม่มาก ไป ๆๆๆ พอเล่นจบก็คือ เป็นมึนนิดหน่อย
และหวาดเสียวจ้ะ ไม่มีคำว่าไม่หวาดเสียว ไม่มีอยู่จริงงงง หมุนเป็นทีวี 360 องศาไปเล้ยยยยย
(ขอแอบเม้าโบชัวร์ของสวนสนุกนิส คือถ้าดูชื่อ Paniclock ก็คือเล่นคำว่า Panic กับ Clock ใช้ตัว c ร่วมกัน
แต่ในโบชัวร์เขียนชื่อเครื่องเล่นอันนี้ว่า Panic Rock โกรธมากกกก มันไม่ถูกต้องนะคะ!!)
เล่นเสร็จขอหาอะไรทานเล็กน้อย เพราะจะเที่ยงแล้ว ดูดิ แปปเดียวอ่ะ ครึ่งวันแล้ว ได้เล่นแค่ 2 เครื่อง
ภายในสวนสนุกก็จะมีร้านอาหารอยู่เยอะมาก ทั้งแบบเป็นอาหาร เป็นเค้าน์เตอร์ รถเข็นปะปนกันอยู่ทั่วไป
เราก็เลือกกินอันที่อยู่ใกล้เครื่องเล่นที่เราเพิ่งลงมา จัดฮอตดอก 40 เซนกับไก่งวงสไปซี่ไปคนละอย่าง
3. Do-dodonpa
ต่อกันด้วยเครื่องเล่นที่ขึ้นชื่อเรื่องการออกตัวเร็วและแรงที่สุดในปฐพี ไม่ต้องห่วงว่าที่กินไปจะอ๊อก เพราะใช้เวลาต่อแถวนานพอสมควร
Do-dodonpa ออกตัวด้วยความเร็ว 180 กม./ชม. หนังหน้าเกือบฉีกแม่จ๋า ไม่กล้านั่งหน้าสุด กลัวหัวใจวาย
ถ้าดูในแมพของที่นี่จะเห็นว่ารางยาวมากกกก เรียกว่ากินพื้นที่ในแนวยาวของสวนสนุกเกือบหมดได้เลย
เพราะว่าความเร็วสูงมากในการออกตัว ทำให้ต้องวิ่งเป็นทางยาวตรงเพื่อทำความเร็วและไม่อันตรายเกินไปนั่นเอง
ตอนที่เครื่องเล่นออกตัวก็คือมันจะออกจากอุโมงค์มืด ๆ แบบอยู่นิ่ง ๆ แล้วดีดตัวออกไป
แล้วช่วงที่ออกมาเจอแสงอ่ะ ก็เหมือนตาวาบ 
เป็นแบบเวลาถ่ายวีดีโอแล้วปรับแสงไม่ทันจนเห็นแสงข้างนอกโอเว่ออ่ะ


ฟีลเหมือนชั้นมาสวรรค์ ชั้นเห็นนางฟ้า 5555555555555 





ลงมาก็เลยซื้อรูปมาเป็นที่ระลึกซะหน่อย เลือกแบบไฟล์มาแบ่งกัน สีหน้าเอนจอยกันทุกหน่วยเลยนะจ๊าาา
แล่นสู่ภูเขาไฟฟูจิกันเลยทีเดียว
4. Wave Swinger
ตอนลงมาก็แอบคิดว่า เล่นทำไมว้าาาา ให้มึนหัวเปล่า ๆ 5555555555
แถมเกร็งตูดกลัวตก ไม่กล้าแม้แต่หันหน้าไปมองเพื่อน ในใจคือภาวนาให้จบไว ๆ เด้ออ สาธุ!
ไม่ได้ถ่ายรูปมาเลยจริง ๆ เข้าไปเล่นเพียงเพราะเดินผ่าน แล้วก็เอ้ย อันนี้เล่นได้ เล่นดิ
พอค้น ๆ รูปดันเจอ ถ่ายติดมา แบบติดวิญญาณเลยอ่ะ 55555555555 ถ่ายผ่านกระจกชิงช้าสวรรค์ด้วย
เลยขอถือวิสาสะไปจิ๊กรูปมาจากเว็ปไซต์ออฟฟิเชียลซะเลย ได้ยินเสียงกรี๊ดออกมาจากรูปมั้ยคะ เสียงดิฉันเองค่ะ แง
(ตรงลานขาว ๆ คือลานสเก็ตน้ำแข็ง ที่ตอนนี้ปิดอยู่ ปีนี้จะเปิดวันที่ 23 พฤศจิกายน 2562)
5. Shining Flower (Ferris Wheel)
มานั่งพักผ่อนกับวิวมุมสูงของสวนสนุกกันซักหน่อย หลังจากเล่นเครื่องเล่นที่ทั้งหวาดเสียวและเวียนหัว 

ชิงช้าสวรรค์อันนี้มีความสูงถึง 50 เมตร เท่ากับตึกเกือบ ๆ 20 ชั้นเลยนะเว่ย โอ้
อันนี้ก็เหมือนกัน ตอนนั่งไม่ได้ถ่ายรูป แต่พี่เจถ่ายตอนเลิกแล้ว
ตัวชิงช้านั่งได้ 4 คน มีตู้ที่เป็นแบบใสด้วย แต่ไม่ได้กินชั้นหรอกจ่ะ กลัว 55555555555
6. FUJIYAMA : King of Coaster
ปิดท้ายด้วยเครื่องเล่นที่ขึ้นชื่อว่า ถ้ามาที่นี่ก็ต้องเล่น เป็นเจ้าแห่งรถไฟเหาะตีลังกา ที่กินเวลานานกว่า 3 นาที
นานจนตอนเล่นอยู่แว้บคิดหลายทีมากว่า เมื่อไหร่จะจบวะะ คอจะหักแล้วแม่ แต่สนุกมาก ๆ เลย คุ้มค่ากับที่ต่อแถวยาวเป็นเบือ
ต่อแถวจนเกือบดึก
สำหรับ Fujiyama และ Do-dodonpa ใครที่กลัวจนไม่กล้าขึ้นเครื่องเล่นจริง ๆ แต่อยากลองสัมผัสประสบการณ์หวาดเสียว
ที่นี่เขาก็มี VR ของทั้ง 2 เครื่องให้เล่นด้วยนะ เด็ก ๆ ที่ส่วนสูงไม่ถึงไม่สามารถขึ้นเครื่องจริงได้ก็มาเล่นได้เช่นกัน
แต่วันที่เราไปมันปิด และเราก็เลือกที่จะเล่นเครื่องจริง โชคดีมากที่ได้เล่นทั้ง 2 เครื่องนี้ แค่ต่อแถวก็หมดเวลาไปครึ่งนึงแล้ว

Takabishi - เครื่องนี้ได้แต่มอง กว่าจะทำใจเล่นได้ ป้ายไม่รับคิวก็มาตั้ง จอบอ
Eejanaika - จริง ๆ เครื่องอยู่หน้าสุดเลย แต่อยากทำใจไปเล่นอย่างอื่นก่อน
สภาพมันดูน่ากลัวอ่ะ ยิ่งกว่าเครื่อง Jurassic world ตอนไป USJ อีก อันนั้นมันท่าก้ม อันนี้คือหมุนวนไปอ่ะ

Merry-Go-Round - เสียดายมากกก อยากเป็นเจ้าหญิงนั่งม้าหมุนนน แง
Red Tower - อันนี้ต้องทำใจมาเล่นเหมือนกัน แต่พอพบว่ามันปิดก็เสียดาย
(ซ้าย) Mad mouse อารมณ์หนุลมกรด หาในแมพไม่เจอว่าอยู่หมวดไหน แต่ไม่ได้เล่น สีน่ารักดี
(ขวาบน) ราง Eejanaika แหงนมองตั้งแต่เข้า คือ so scary (ขวาล่าง) ราง 121 องศาของ Takabishi
อีกอันนึงที่อยากเข้าคือบ้านผีสิง จริง ๆ ต้องบอกว่าเป็นโรงพยาบาลผีสิง Super Scary Labyrinth of Fear
บวกกับการจะเข้าไปคือต้องซื้อบัตรแยก เสียเงินเพิ่ม และใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการเดินข้างในนั้น
เรียกว่า รายการคนอวดผีก็สู้ไม่ได้ แถมเรายังไปกับคนกลัวผีม๊ากมากอย่างพี่เจอีก
เราดูรีวิวไปเยอะมาก แต่ตอนเข้าไปก็หาไม่เจอว่ามันคืออาคารไหน งงเหมือนกันว่าทำไมไม่ดูในแมพ
พอตอนจะออก เราต้องออกประตูที่ไปรถไฟสายฟูจิคิว (เข้าประตูนี้เหมือนกัน) มันก็อยู่ตรงนั้นแหละ
มองเลยน้องก้อนเมฆเข้าไปลึก ๆ หน่อยก็จะมองเห็น มามองตอนมืดแล้วคือโคตรหลอน ขนาดยังไม่ได้เข้าไป
เสียดายที่ได้เล่นเครื่องเล่นน้อย แต่ก็ถือว่าสนุกมากเลยนะ ครั้งหน้าสงสัยต้องวางแผนเรื่องการเดินทาง
และการค้างอ้างแรมที่คาวากูจิโกะให้นานหน่อย เพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศแถวนี้ให้มากขึ้น
นอกจากเครื่องเล่นจะหวาดเสียวแล้ว อากาศก็ยังหนาวด้วยนะจ๊ะ ไม่ได้พูดถึงอากาศเลย แต่วันนี้เราไม่ลืมฮอทแพ็ค
ตอนที่ขึ้นเครื่องเล่นก็คือ หน้าจะแตก เพราะลมหนาวตีหน้าผับๆๆ กรี๊ดด หนาวว้อย ไม่รู้จะหนาวหรือจะหวาดเสียวก่อน
ขากลับเราก็เดินทางเหมือนเดิม ย้อนจากขามา ใช้พาส ๆ ผ่านฉลุยวู้ว กลับเข้าเมืองกันจ้าา
ระหว่างที่รอรถไฟที่สถานีก็จะมีตู้ให้เข้าไปนั่งหลบความหนาวได้ แต่คนเยอะนะ ต้องแบ่ง ๆ กันนั่งหน่อย
หรือใครจะสู้กับความหนาวด้วยกันไปกดไอติมมากินแบบพี่เจก็ได้
รถไฟคิ้วท์มากกก แต่นี่ไม่ใช่สายที่เราจะต้องขึ้น เพราะหันหัวไปคนละฝั่ง และเราจะไม่ยอมขึ้นรถผิดสายอีกค่ะ
โดยปกติสถานีรถไฟของญี่ปุ่นก็จะมีรถไฟผ่านหลายสาย ก็อยากจะฝากท่านผู้ชมทางบ้านนะคะ
ดูให้ดี เตรียมตัวให้มั่น จำชื่อสายที่เราจะไปให้ได้ ที่สำคัญ ดูเวลา เพราะมันเป๊ะมาก
ถ้าบอกว่าจะมา 15.30 เราจะไปขึ้นสายที่มา 15.20 ไม่ได้นะคะ ห้ามใจร้อนนะคะะะะะะะะะ 





กลับมาแล้ววววว หาอาหารรับทานกันดีกว่า 





มื้อเย็นของเราวันนี้มาซื้อที่ร้านเบนโตะราคาถูก มีให้เลือกเยอะมากกกกกก คนไทยมาซื้อเต็มเลยจ้า
เราก็เลือกมาคนละอัน พอเอากลับไปกินที่ห้อง ก็แอบชืดแล้ว เพราะหนาว ก็จะเย็นลงไวมาก
จริง ๆ น่าจะเอาไปเวฟข้างบน ใช้บริการของโรงแรมงี้ แต่ก็ไม่ได้ไป และเราก็ไม่ลืมแวะซื้อขนมปังสำหรับพรุ่งนี้เช้า
DAY 7 ♡ YOKOHAMA 6/11/2019
[ใช้ TOKYO WIDE PASS D-3]
[ใช้ TOKYO WIDE PASS D-3]
ทรหดกันมา 2 วันแล้ว มาพักผ่อนตามอัธยาศัยกันมั่งดีกว่า The day that I love the most 

AQUARIUM



แต่จริง ๆ วันนี้ก็ไม่ได้ตั้งใจมาพักผ่อนนะ เพราะว่ามีลิสต์เครื่องเล่นที่ต้องมาเล่นเหมือนกัน
แต่ดันปิดซะงั้น เซงมาก เพราะเราซื้อบัตรรวม 2 โซนมาจากใน Klook แล้ว แต่ในเว็บมันก็แจ้งแหละว่า หากมีการเปลี่ยนแปลง...
ก็เลยทำให้เสียส่วนเครื่องเล่นไปเกือบจะฟรี ๆ ถ้าไม่ได้เล่นเครื่องเล่นน้องหนู ที่คุณพ่อคุณแม่เล่นด้วยได้
วันสุดท้ายของการใช้ Tokyo Wide Pass ก็มีเรื่องมาเล่ากันอีกแล้ว ทิ้งท้ายกันแบบงง ๆ
เราต้องขึ้นรถ JR สาย Ueno-Tokyo จากสถานี Ueno แล้วมันมี green car (แบบที่ต้องจ่ายเงินจองที่นั่ง ถึงจะนั่งได้) พอดีว่าตอนรอรถไฟยืนอยู่ตรงทางเข้า green car พอมาถึงก็เลยเข้ามาในตู้ เจอว่าคนยืนอยู่ในตู้เยอะมาก
ก็เลยคิดว่า เออ ยืนได้แหละ พอมาถึงสถานีโตเกียว คนก็ลงไปเยอะมากจนมีที่ว่าง ก็มีผชญี่ปุ่นคนนึง เข้าไปนั่ง
โดยเอา IC card แตะด้านบนเพื่อซื้อที่ ทำให้เหลือเรา 4 คนยืนหัวโด่อยู่ โดยที่ไม่รู้ชะตากรรม
จากนั้นผ่านไปพักนึง มีพนักงานที่ตอนแรกมองไม่ออกว่าเป็นพนักงานอ่ะ เดินมาหาพวกเรา ไม่พูดไม่จา
มองหน้าพวกเราแล้วชี้ไปที่ประตูระหว่างตู้ เราก็คิดว่าเขาขอทาง แต่พอเราหลบแล้วเขาก็ยังทำเหมือนเดิม
เราเลยถามว่า ให้ไปอันนั้นเหรอ (พนักงานไม่ตอบ) อยู่นี่ไม่ได้ใช่มั้ยคะ (ก็ยังไม่ตอบอีก แง) สรุปคือใช่
เปิดมาอีกตู้ถึงเห็นว่าเป็นตู้ที่ไม่ต้องจอง แล้วคนยืนอยู่เยอะมาก จบ 55555555
ก็คืองงเพราะ ไม่พูดไม่จาทำหน้าบึ้งตึงอ้าาาา ต่อไปจะศึกษาให้มากกว่านี้นะคะ 

ดีนะที่เรายืนกันอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ไม่ทำกิริยาไม่เหมาะสม ขอประทานโทษที่รบกวน แง
จดจำไว้นะใจเจ้ากรรม ตอกและย้ำให้จำฝางจายยยยยยยย~
ถ้าจะซื้อที่ก็ให้ดูว่าว่างมั้ย แล้วแตะบัตรลงไป เจ้าจะได้ที่นั่งเอยยยยยยย เตร้ง เตรง เตร่ง เตร้งงง
มาถึงสถานี Shin-sugita ก็ต้องไปต่อ monorail ที่เป็น seaside line ไปยัง Sea Paradise Hakkeijima อันนี้นอกพาส
ซึ่งอย่างที่เคยบอก อันไหนนอกพาสเราก็ใช้ Suica แตะๆๆๆ โลด มันก็จะมีส่วนลดต่อรอบนิดหน่อยถ้าเราใช้บัตรเติมเงิน
มาถึงก็ต้อนรับกันอย่างน่ารักสดใสด้วยภาพบนผนัง 

ถ้าถามว่ามีความสุขขนาดไหน ให้ดูจากกิริยาท่าทางของดิฉัน 

วันนี้รูปเยอะมากกกกกกกกกกกกกก เหมือนทดแทนเมื่อวานที่ไม่ค่อยได้ถ่าย เรียกว่าทดแทน 3 เท่าไปเลย
Because I love aquarium more than my boyfriend, just kidding na jaaaa eiei 



วันนี้มาถึงเร็วมาก เร็วกว่าที่คิดไว้ Sea Paradise ก็ยังไม่เปิด เลยมาเดินเล่น นั่งกินอาหารเช้าริมทะเลกันก่อน
ชมฟูจิซังที่ตามเราไปทุกที่ ไม่ว่าจะเมื่อวาน วันนี้ วันก่อน วันแรก วันนู้น วันโน้นนนน 

เห็นยอดฟูจิซังอยู่ไกลลิบ ๆ หลังตึก
Sea Paradise Yokohama Hakkeijima เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ที่ไม่ได้มีแค่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเท่านั้น
ด้วยขนาดที่ใหญ่ถึง 40 เอเคอร์ หรือประมาณ 100 กว่าไร่ด้วยกัน ก็คือเหมือนเกาะเกาะนึงเลย
โดยพื้นที่จะถูกแบ่งออกเป็น 2 โซน คือ โซน Aqua Resort และโซนสวนสนุกหรือ Pleasure Land นั่นเอง
แต่ไม่ใช่แค่นี้นะ เพราะในโซน Aqua Resort ก็มีความยิบย่อยออกไปอีก แบ่งเป็น 4 ส่วน มันก็จะเชื่อม ๆ กันไปเรื่อย ๆ
มา Let's walk through together! 





สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมจิ้มลิ้งค์ออฟฟิเชียลได้เล้ยย
http://www.seaparadise.co.jp/en/

ก่อนจะเข้าไปด้านใน แน่นอนว่าต้องมีบัตรผ่านกันก่อน เราซื้อบัตรมาจาก Klook อีกเช่นเคย
เป็น one-day pass แบบรวม 2 โซน กะว่าวันนี้คุ้มแน่นอน เล่นเครื่องเล่น ชมวิว ดูปลา จับโลมา ขี่เพนกวิน บินไปกับนก
มีกี่กิจกรรมเก็บให้หมด แต่พอมาถึงก็ต้องแป้ว เพราะโซนเครื่องเล่น เครื่องปิดเยอะมากกกกกก โดยเฉพาะรถไฟเหาะลงน้ำ
ที่ชั้นตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าจะต้องได้เล่น แค่เครื่องเดียวก็ได้ แต่แล้วฝันก็สลาย ไม่มีแม้แต่ความหวัง
บัตรที่ซื้อมาจาก Klook จะต้องเอา QR code ไปแลกสายรัดข้อมือมา พนักงานก็จะให้ข้อมูลว่า มีโชว์อะไรให้ดูบ้าง
เครื่องเล่นเครื่องไหนปิดบ้าง มีอะไรน่าสนใจให้ไปเล่น หรือมีกิจกรรมอะไรพิเศษในวันนี้บ้าง และมอบแผนที่กับตารางโชว์ให้เรา
วันนี้เป็นวันธรรมดา คนเลยน้อยมากกกก ไม่จอแจวุ่นวายเท่าที่คิด แต่ก็ไม่น้อยจนถึงขนาดร้าง
เราเริ่มกันที่โซน Aqua Resort ก่อน โดยเดินทางตามนี้ Aqua Museum
Dolphin Fantasy
Fureai Lagoon
Umi Farm





ทางเข้า Aqua museum จะอยู่ด้านซ้ายของเค้าน์เตอร์ซื้อตั๋วเลย เราก็เข้าเป็นอันแรกไปเลยได้ เหมือนเส้นทางบังคับ
ด้านในก็เดินเป็นวงกลมไปเรื่อย ๆ แผนผังพื้นฐานของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเลย แถมทางเดินมันก็ไกด์ให้เราเดินไปตามนั้นด้วยอ่ะ
ซึ่งก็ไม่ใช่การเดินไปเฉย ๆ นะจ๊ะ มีการแบ่งโซนสัตว์น้ำเอาไว้เช่นเดียวกัน ป่ะ! ไปเดินข้างในกัน
LABO 1 BEGINNING OF THE SEA
เปิดด้วยตู้แรกเป็นแท้งที่มีเหล่าปลาสีสันสดใสมาต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคน รวมถึงปะการังต่าง ๆ ด้วย
ทั้งนีโม่ ดอรี่ ปลาสีเหลือง สีส้ม ตัวเล็ก ๆ ละลานตา ซึ่งล้วนเป็นปลาที่อาศัยอยู่ในแนวปะการังทั้งสิ้น
อย่าลืมทักทายคุณปลาไหลสวนกันด้วยน้าาา 





(ตอนเดินออกเพื่อไปอาคารอื่นเราก็ผ่านร้านที่ขายตุ๊กตาแบบสวมแขน เลยปลอมตัวเป็นคุณปลาไหลด้วยจ้า เหมือนมาก)
LABO 2 SEA JEWEL SHELL-RIUM
เดินต่อมาจะเจอเวิ้งที่มองเห็นใต้น้ำของโชว์ปลาน่ารักที่ Aqua Stadium แต่หลัก ๆ โซนนี้จะเป็นหอยมุกและปลิงทะเล
เราไม่ได้ดูส่วนของหอยมุกมาก เพราะว่ามันมีกิจกรรมที่ต้องเสียเงินเพิ่ม อย่างการเอาไข่มุกออกจากหอย เด็ก ๆ น่าจะชอบ
ช่วงที่เราไป โซนนี้จัดแสดงเป็นธีมคริสต์มาสแล้ว ในตู้คุณปลิงทะเลก็เลยมีซานต้า กวางเรนเดียร์ ต้นคริสต์มาสตกแต่งอยู่
ตอนที่เราเข้ามาในโซนนี้ เป็นตอนนี้ Aqua stadium กำลังจะมีโชว์พอดี เราก็เลยลองรอดูโชว์จากด้านล่าง
จริง ๆ ก็ได้มู้ดไปอีกแบบ แต่ก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวของโชว์มันเป็นยังไงหรอกนะ เห็นปลาว่ายไปว่ายมา เล่นกับคน
ไม่ทันดูจบก็เดินไปโซนอื่นต่อเพื่อไม่ให้เสียเวลามากเกินไป
LABO 3 ANIMAL EVOLVED IN THE SEA
โซนนี้มีโชว์ให้อาหารแมวน้ำด้วย เป็นตอนที่พนักงานกำลังมาให้อาหารพอดีเลย เดินมาได้จังหวะ 

แมวน้ำตรงโซนนี้จะมีอยู่ 2 สายพันธุ์ คือ คุณแมวน้ำลายจุดและแมวน้ำสีเทา มามะ มากินปลากันนนน
ว่ายน้ำกันอย่างไว ถ่ายภาพนิ่งไม่ทันเลยว่อยย!
อีกหนึ่งสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจมาก คือ นางฟ้าทะเล เป็นตัวโปร่งแสง เครื่องในไม่มีอะไรมาก เห็นจะมีแต่ไอตรงส้ม ๆ ข้างใน
และส่วนตัวไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับนางฟ้าทะเลมาก เลยพยายามไปหาข้อมูลเพิ่มเติมและพบข้อมูลที่ทำให้ตกใจสุดว่า นางเป็นหอยย!!
จุดเด่นที่ถูกทำให้เรียกว่านางฟ้าก็คือ ปีกใส ๆ ที่อยู่ข้างลำตัว และการเคลื่อนไหวขึ้นลงเป็นจังหวะ ทำให้คล้ายกับนางฟ้าในการ์ตูน
นอกจากนั้นนางฟ้าทะเลยังสามารถกินอาหารแค่ครั้งเดียวและมีชีวิตอยู่ต่อได้โดยไม่กินอะไรอีก 1 ปีเพราะอัตราการเผาผลาญต่ำมาก 

ชั้นเป็นหอยจ้า!
LABO 4 ANIMALS LIVING IN ICE SEA
มาต่อกันที่เหล่าสัตว์ที่อาศัยอยู่ในทะเลโซนหนาว หวังว่าด้านในจะหนาวเหมาะสมกับความเป็นอยู่ของทุกตัว
อย่าว่าแต่ข้างในหนาวเลย ข้างนอกก็หนาวเหมือนกันจ้า หงึกก ๆๆๆ 









คุณ Polar bear ตอนแรกทำเงียบ ต้องรอพักนึงถึงมาว่ายน้ำโชว์ตัว เรียกนักท่องเที่ยวมาชมได้เป็นโขยงเลย
เราจะไม่ค่อยได้เห็นวอลรัสในสวนสัตว์มากนัก (เหมือนไปมาเยอะมากเนาะ) แอบดูน่ากลัวอยู่หน่อย ๆ
จ้องตาเขม็งง!
เพนกวินจ๋า มาคุยกัน

LABO 5 HERD LIVING IN VAST EXPANSE OF SEA AND SPARKLING FISH
โซนสุดท้ายของชั้น 1 แล้วก็เป็นทางเชื่อมขึ้นไปชั้น 3 ที่ไม่มีชั้น 2 ก็เพราะความสูงของแท้งทำให้กินพื้นที่ชั้น 2 ไปแล้ว
แท้งนี้จะเป็นแท้งที่ใหญ่ที่สุดที่บรรจุสัตว์น้ำไว้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นฝูงซาดีน สะท้อนกับแสงก็คือระยิบระยิบมากเว่อ
ฉลามหัวค้อน ฉลามทราย เหล่าปลากระเบนตัวเล็กตัวใหญ่ ว่ายวนเวียนมาโชว์ตัวกันที่กระจกให้นักท่องเที่ยวได้ชม



Up, up to 3rd floor 

LABO 6 THE SEA AND THE LIFE THAT GET BAG FROM THE SUN
ขึ้นมาชั้นนี้ก็จะเป็นหมวดสัตว์ทะเลที่อยู่ในน้ำลึกมากขึ้น ประเภทก็จะหลากหลายยิ่งกว่าด้านล่าง พบเห็นได้ยากกว่า
มาถึงก็เจอบ่อที่ใส่สัตว์ที่สามารถเอามือสัมผัสได้ก่อนเลย แต่ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของที่นี่ด้วยนะ มีป้ายติดอยู่
ใช้นิ้วเดียวเท่านั้นในการสัมผัสน๊ะจ๊ะ 

สาหร่ายทะเลน้ำลึกที่ดูลึกลับมากกก
โซนนี้เป็นโซนของพืชใต้น้ำ นอกจากสาหร่ายด้านบนแล้วก็ยังมีหญ้าทะเลด้วย
ภายในตู้ก็จะบรรจุสัตว์ทะเลที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่มีพืชเหล่านี้ จริง ๆ โซนนี้มีปลาหมึกยักษ์ด้วย แต่ทำไมไม่ได้ถ่ายมาก็ไม่รู้
ปะการัง ปลาไหลมอเรย์ ปลาสิงโต
LABO 7 DEEP SEA AQUARIUM "MYSTERY OF THE UNDERWATER DALE"
มาถึงโซนที่เป็นสัตว์ทะเลน้ำลึกมาก ทำให้แสงในบริเวณนี้จะมืดกว่าส่วนอื่นเป็นพิเศษ
นักท่องเที่ยวที่จะถ่ายรูป ก็ห้ามใช้แฟลชโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้สัตว์รู้สึกไม่ปลอดภัยได้นะคะ 

จริง ๆ การห้ามใช้แฟลชถือเป็นกฎพื้นฐานของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเลยแหละ แต่หลาย ๆ ที่ก็ยังเห็นนักท่องเที่ยวบางคนใช้อยู่
Japanese Spider Crab
แมลงสาปทะเลที่ตัวใหญ่มาก ถ้าเจอไซส์นี้บนบกคือเป็นช็อค
LABO 8 THE FASCINATING FISH HIDING IN THE SEA OF NIGHT
ลึกลงไปอีกเราจะเจอกับผู้ล่าใต้ท้องทะเล ก็คือฉลามนั่นเอง ตัวนี้คือฉลามเสือทราย ลักษณะเฉพาะคือฟันที่ดูระเกะระกะ
ซึ่งทำให้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า Spotted ragged-tooth shark ที่บ่งบอกลักษณะที่ไม่เป็นระเบียบของฟันของมันนั่นเอง
มาชั้นนี้ทุกโซนจะดูมื้ดมืดไปหมดเลย
ที่นี่ยังมีจัดแสดงไข่ของปลาฉลามด้วยนะ ซึ่งดิฉันบอกเลยว่าไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต ไม่คิดว่าไข่ของมันจะเป็นเช่นนี้
ตอนแรกก็คิดว่าอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นหรือไม่ แต่ป้ายด้านหน้าก็บอกชัดเจนว่ามันคือไข่ของปลาฉาม
พอส่องดูด้านในก็จะเห็นปลาเด็กเคลื่อนไหวอยู่ อะเมซิ่งต่อเจ้มาก ถึงกับเสิชเป็นภาษาไทยอีกทีว่าใช่ไหม
LABO 9 KURAGERIUM
มาต่อกันที่เจ้ากะพรุน ที่ไม่ได้ถูกเรียกว่า jellyfish อย่างเดียวอีกต่อไป เพราะกะพรุนในโซนนี้คือ Northern Sea Nettle Jellyfish
หรือบ้านเราเรียกกันว่าแมงกะพรุนไฟ หรืออีกชื่อที่ฟังแล้วรู้สึกแสบ คือ ตำแยทะเล ซึ่งเป็นสายพันธุ์มีพิษ
และสายพันธุ์ที่ชื่อว่า Aurelia หรืออีกชื่อนึงที่ดูน่ารัก Moon jellyfish หรือแมงกะพรุนพระจันทร์นั่นเอง
ตัวนี้ก็เป็นวงศ์ Aurelia เช่นกันแต่ลักษณะต่างกัน เป็นแมงกะพรุนถ้วย
โซนนี้จะมีจุดที่เป็นแลป ให้มาส่องดูการเพาะพันธุ์แมงกะพรุนหลากหลายสายพันธุ์เลย เด็ก ๆ ก็มาส่องกันใหญ่
LABO 10 SHOALS OF FISH SWIMMING AROUND CORAL
ใกล้จะหมดชั้นแล้ว รู้สึกว่ารูปเยอะมากมากมากมากกกกกกกกกก ก ไก่อินฟินิตี้ 5555555
เหมือนควรเขียนวันนี้แยกไปเลย 1 โพส ไม่ให้เป็นภาระกับทั้งทริป ด้วยความที่เราชอบเที่ยวอะควาเรี่ยมมาก
รูปของวันนี้แทบจะเป็น 50% ของทั้งทริปเลยก็ว่าได้ มีรายละเอียดร้อยแปดพันเก้าาาาาา
ตู้สุดท้ายก่อนจะขึ้นไปด้านบน ปลาที่เป็นไฮไลท์ของตู้นี้จะเป็นปลาที่อาศัยอยู่ในแนวปะการัง
โดยเฉพาะปลาเหลืองปล้องหม้อที่มีชื่อภาษาอังกฤษตรงกับภาพลักษณ์ของมันมาก ว่า Redbelly yellow tail fusilier
และปลากะพงลายสี่แถบ ที่มีลักษณะเฉพาะคือ ลายแถบ 4 เส้นบริเวณข้างลำตัว ภาพอาจจะไม่ชัดเท่าไหร่ แนะนำให้ไปดูของจริงจ้า
กำลังจะขึ้นไปด้านบนก็จะผ่านตู้แบบเปิด ที่มีคุณเต่า ปลาปักเป้า และปลาหมอทะเลตัวใหญ่ม๊ากกกอยู่
ซึ่งบรรยากาศของตู้นี้จะเหมือนชายหาดเลย สามารถขึ้นไปดูจากชั้นบนได้ด้วย น่าจะให้เหมาะกับสภาพการอยู่อาศัยของสัตว์กลุ่มนี้
ปลาหมอทะเล 

LABO 11 FORESTRIUM
ออกมาโซนเอ้าท์ดอร์ ตรงนี้จะเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่บนบกด้วย และในน้ำด้วย ทำให้เห็นถึงความหลากหลายทางชีวภาพมากขึ้น
เราสามารถเข้าไปเดินด้านในนี้ได้ เพื่อดูเหล่าสัตว์กลุ่มนี้อย่างใกล้ชิด แต่ห้ามจับน้อง ๆ เด็ดขาด
เพราะพวกเขาอาจจะตกใจ จนทำอันตรายกับเราโดยไม่ได้ตั้งใจได้ อีกอย่างก็คือเรื่องความสะอาดด้วย
ทางเข้าและทางออกมีประตูเปิดปิดเรียบร้อย ไม่ต้องห่วงว่ามันจะออกมาเดินเพ่นพ่านเลย 

คุณเต่าสวยมากกกก ฝูงฟลามิงโก้ก็น่าร้ากก ชั้นรักสีชมพู
มีคุณเจ้าหน้าที่คอยดูแลอยู่ด้านใน ส่วนตรงนากก็มีเจ้าหน้าที่มาให้อาหาร
โซนของนากเราสามารถซื้ออาหารไปให้ได้ ก็จะมีโซนกั้นเอาไว้ให้ทำกิจกรรม มีเจ้าหน้าที่ดูแล
คุณแพนด้าแดงวิ่งไปวิ่งมาว้าวุ่นมาก น่ารักน่าฟัดดด
ขอผม ขอผมมมม 

White Pelican หรือนกกระทุงที่เวลาหาอาหาร ใต้ปากจะเห็นเป็นถุงยืด ๆ ออกมา
ขึ้นไปถึงชั้นบนสุดของ Aqua museum ก็จะมีตู้สุดท้ายของโซนนี้ละ มีเต่าบก แล้วก็ปลาเทราต์
ซึ่งเต่าบกอ่ะ ถูกเขียนเลขเอาไว้บนกระดอง ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลอันใด เราเลยไปยืนชมวิว (สอดคล้องยังไงก่อน)
แล้วก็มีโรงหนัง Aqua theater ฉายเรื่อง No boundary one nature ที่ฉายในเวอร์ชั่นญี่ปุ่นเท่านั้น เราก็อดดูไป จบ


ออกมาจาก Aqua museum เราก็แวะพักผ่อนริมน้ำด้วยการขับเรือซักหน่อย Sea boat ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Pleasure Land เหมือนกัน
ถ้ามีสายรัดข้อมือก็สามารถเข้าไปเล่นได้เลย เจ้าหน้าที่จะให้เราใส่เสื้อชูชีพ มีอธิบายการบังคับเล็กน้อยก่อนลงเรือ
ใช้เวลา 3 นาทีเท่านั้นในการขับ 1 รอบ ต้องกลับมาภายใน 3 นาทีด้วยนะ จะมีนาฬิกาจับเวลาให้ดูอยู่ หมด 3 นาทีแล้วร้องด้วย
ช่วงที่เป็นทางโค้งกลับมา จะมีเสากำหนดเขตอยู่ เราก็เลี้ยวตามนั้นมาเรื่อย ๆ


โซนนี้จะเป็นอาคารเล็ก ๆ ที่มีส่วนของอุโมงค์แบบเปิดด้านบนให้รับแสงและแท้งทรงกระบอกที่มีฝูงซาดีน
ไฮไลท์ของเขาก็คือ แสงที่สะท้อนลงมาในน้ำ ทำให้เรารู้สึกเหมือนน้องโลมาว่ายอยู่ในทะเลที่มีแสงกระทบผิวน้ำจริง ๆ
เป็นความรู้สึกสดชื่นที่ได้รับแสงแดด แถมยังมีแสงสวย ๆ สะท้อนเข้ามาข้างในให้เราได้ถ่ายรูปเล่นด้วย
เนื่องจากอาคารนี้ขนาดไม่ใหญ่มาก เลยใช้เวลาแปปเดียวเท่านั้นก็ไปต่อ 



แง รถไฟเหาะลงน้ำที่ทำได้แค่มองจากกงเน้!


มาถึงโซนที่ทำให้เราได้ใกล้ชิดกับสัตว์น้ำมากขึ้น เป็นโซน interactive ก็คือสามารถทำกิจกรรมกับสัตว์ได้
ก่อนเข้าไปด้านในก็จะต้องมีการฟังคำอธิบายความปลอดภัย วิธีการปฏิบัติตัว การรักษาความสะอาด
รวมถึงการดูแลบุตรหลานของท่านนะคะ เพราะจะมีเด็ก ๆ จำนวนมากเข้าไปด้านใน ผู้ปกครองก็ต้องคอยดูแลให้ดี
มาถึงก็จะเจอกับโซนจัดแสดง ที่มีการนำสัตว์มาแสดงความสามารถ พอจบโชว์ก็สามารถถ่ายรูปคู่และซื้อกลับไปได้
อัดอั้นตันใจมาก เพราะไม่รู้จะเข้าไปในนั้นได้ยังไง ได้แต่ยืนถ่ายอยู่ไกล ๆ อุแง
อาาา บั่ก! ... งั่มๆๆๆๆๆ 



เป็นโซนที่เราแว้บเข้าไปเฉย ๆ เพราะปกติคนจะเข้ามาในโซนนี้เพื่อตกปลาไปทำกิน ก็จะเป็นกิจกรรมที่เสียเงินเพิ่มด้วย
ก่อนเข้าด้านในก็จะเหมือนโซนก่อนหน้านี้เลย ที่ต้องฟังบรรยายด้านความปลอดภัยก่อนถึงสามารถเข้าไปได้
เพื่อการปฏิบัติตามกฎ และความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวทุกท่าน โดยเฉพาะเด็ก ๆ ถ้าซนจนตกน้ำตกท่าไปจะอันตราย
นักท่องเที่ยวที่เข้าไปตกปลา จะต้องตกแต่พอดี เพราะจะต้องนำมาทำกินทุกตัวที่ตกได้ ห้ามเหลือ!
ขออนุญาตใช้รูปจากเว็บไซต์ออฟฟิเชียลจ้า
ข้อมูลเพิ่มเติม จิ้ม http://www.seaparadise.co.jp/th/aquaresorts/umifarm/ 

(SHOWTIME) AQUA STADIUM 

เราวางแผนเอาไว้ ว่าจะกลับมาดูโชว์เป็นอันดับสุดท้ายก่อนกลับ พอออกจากอูมิฟาร์มก็เลยตรงดิ่งมาที่สเตเดียมเลย
ได้เวลาเหมาะเจาะก่อนพระอาทิตย์จะตกพอดี โชว์จะมีความยาวประมาณ 35 นาที
ซึ่งจริง ๆ ทั้งวันเนี่ยก็จะมีโชว์หลากหลายรูปแบบ และถูกตั้งชื่อเอาไว้ เราก็สามารถดูในแผ่นพับที่ให้มาตอนแรกได้
ว่าเราอยากดูโชว์ไหน ตอนกี่โมง จะได้วางแผนได้ถูกว่าต้องเดินไปโซนไหนก่อนนั่นเองจ้าา 





คนเริ่มทยอยกันเข้ามาจับจองที่นั่งเพื่อชมโชว์ เป็นสเตเดียมที่สามารถมองเห็นโชว์จากทุกมุม เลือกนั่งตรงไหนก็ได้เลย
เริ่มต้นโชว์ด้วยการทักทายผู้ชมและมายากลเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มีการเชิญผู้ชมรุ่นเล็กไปร่วมกิจกรรมด้วย เป็นการอุ่นเครื่อง
โชว์รอบนี้เจ้านกไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าไหร่ มันจะเป็นการสั่งให้นกบินไปเกาะที่ผู้แสดงอีกคนนึง ที่ยืนอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของสเตเดียม
แต่เจ้านกก็บินไปที่อื่นไม่ยอมมอง อาจจะเป็นเพราะผู้ชมเยอะเลยตื่นเต้นก็เป็นได้ 55555555
น้องวาฬขาวหรือวาฬเบลูก้า ที่ชั้นชอบเรียกผิดเป็นบูเลก้าตลอดดด
ปิดท้ายด้วยโชว์คุณโลมา ไป ไป เจ้าโลมาา!


พระอาทิตย์ตกแล้ว ได้เวลาเดินทางกลับเข้าเมืองไปพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้
เราเดินผ่านโซนเครื่องเล่นเด็กน้อยซึ่งใช้บัตรที่เรามีเล่นได้เหมือนกัน เลยแวะเล่นซัก 2 เครื่องขำ ๆ
ได้แก่ Red Baron เป็นเครื่องบิน ที่มีตัวบังคับขึ้นลง จริง ๆ ก็เหมาะกับเด็กแหละ แต่จุดนี้ โนสน จะเล่นนน!
และ Drunken Barrel เป็นถังเบียร์หมุน ๆ เราก็เข้าไปคนละอันเลย หมุนจนอ้วกจาแตกกกกก
บังเอิญพี่เจถ่ายเครื่องแรกไว้ แต่อีกเครื่องต้องขอจิ๊กจากเว็บไซต์ออฟฟิเชียลนาจา



เราเดินมาที่สาขาอาซากุสะ ไม่ไกลจากที่พักมาก ซึ่งสาขานี้เปิด 24 ชั่วโมงด้วย


DAY 8 ✈ TOKYO > NARITA AIRPORT 7/11/2019
พี่เจป่วย เลยไปไหนมากไม่ได้แล้ว โชคดีที่วันนี้เป็นวันสุดท้าย ไม่ได้ไปไหนก็เหมือนพักผ่อนจากความเมื่อย
ถึงแม้ว่าจะพอมีแพลนเก็บตกอยู่บ้าง แต่เอาไว้เก็บตอนมาคราวหน้าแล้วกัน จะมาอีกนะจ๊ะ 

เนื่องจากตอนขากลับจอง N'EX ขาออกจากสถานีโตเกียวไว้ ก็เลยเช็คเอ้าท์แล้วเดินทางออกจากที่พักกันแบบเปื่อย ๆ ไม่ได้รีบ
ซึ่งการเช็คเอ้าท์จากที่ APA ก็ไฮโซมาก โดยมันจะมีแท่น self check-out ตั้งอยู่ตรงหน้าลิฟต์ เราก็เอาบัตรหยอดเข้าไป
ในกรณีที่ไม่มีค่าบริการเสริมจากค่าห้องที่เราชำระไปเรียบร้อยแล้วตอนเช็คอินนาจา


เนื่องจากตอนขากลับจอง N'EX ขาออกจากสถานีโตเกียวไว้ ก็เลยเช็คเอ้าท์แล้วเดินทางออกจากที่พักกันแบบเปื่อย ๆ ไม่ได้รีบ
ซึ่งการเช็คเอ้าท์จากที่ APA ก็ไฮโซมาก โดยมันจะมีแท่น self check-out ตั้งอยู่ตรงหน้าลิฟต์ เราก็เอาบัตรหยอดเข้าไป
ในกรณีที่ไม่มีค่าบริการเสริมจากค่าห้องที่เราชำระไปเรียบร้อยแล้วตอนเช็คอินนาจา
ตั้งอยู่หน้าลิฟต์เลย เสียบ!
ลากกระเป๋าเดินทางกันไปถึงสถานีโตเกียว เราก็จะต้องหาที่ฝากกระเป๋าก่อนที่จะไปเดินเที่ยว
ตอนแรกพยายามหาอันที่เป็นล็อกเกอร์ แต่ทุกอันก็เต็มมาก จริง ๆ มันจะมีจุดให้กดดูตู้ฝากกระเป๋าอยู่ว่าตรงไหนยังว่างอยู่บ้าง
และผลลัพธ์ก็คือ ไม่ดีที่ใดว่างแล้วแม่ เราก็เลยเลือกฝากกับเค้าน์เตอร์รับฝากในสถานีแทน
ซึ่งจริง ๆ ก็ดีมากเลยนะ คนรับฝากน่ารัก แล้วราคาก็ไม่ได้แรงมาก

นี่จ่ะ ฝากกระเป๋าก่อนเดินเที่ยวหาอะไรกินอีกเล็กน้อย
[ตอนเดินเลยเข้ามาลึก ๆ ในสถานีก่อนจะไปขึ้นรถไฟดันเจอล็อกเกอร์ว่างที่ไม่มีโชว์ในระบบอีกเยอะมากกกกกก
ถ้าใครมาที่สถานีโตเกียวแล้วอยากฝากกระเป๋า ลองเข้าไปลึก ๆ ดูก่อน ราคาไม่แพงด้วยจ้า]
เราออกไปนั่งเล่นที่หน้าสถานีก่อนจะคิดว่าหาอะไรกินดีนะ ก็เสิช ๆ แล้วลองเดินไปเดินมา ปรากฏว่าเหนื่อยค่ะ ขี้เกียจแล้ว
เลยเข้าไปหากินไม่ไกลจากสถานีโตเกียวแทน โดยโจทย์คือ ซูชิ เพราะว่าตั้งแต่มานี่เรายังไม่ได้กินซูชิเป็นมื้อจริงจังเลย
การได้มาญี่ปุ่นทั้งที่ก็ต้องรับทานซูชิต้นตำรับป้ะะะะะ เราก็เลยตามหาอยู่หลายร้านจนมาเจอออออ ร้านที่อยู่ใต้ดินของห้าง First Avenue
ที่จริง ๆ ก็คืออยู่ติดกับใต้ดินของสถานีโตเกียวเลย เอาล่ะ เข้าไปรับทานซูชิกันนนน
ขอเตือนทุกท่านเลยนะคะ อย่าหน้ามืดเวลาหิวววว 555555555
จริง ๆ อยากสั่งอีกชุดที่มีปลาไหล แต่วันนี้ปลาไหลหมดแล้ว น้องจะร้องไห้ 

เลยสั่งชุดที่ราคาใกล้กัน แต่จำนวนคำเยอะกว่าแทน หิวค่ะ หิวมาก หิวจนจะร้องไห้
ซองตะเกียบของที่ร้านสามารถเอามาพับเป็นที่วางตะเกียบได้ พับแล้วเป็นรูปฟูจิซัง น่ารักมากกก
หยิบกลับบ้านมาด้วยแน่นอนแบบนี้
กินอิ่ม จ่ายตัง เดินออก สบายตัวว
ร้านนี้เลยจ้า Numazu Uogashizushi เวรี่กู้ดดดดดดด เราแนะนำเลยแหละ อร่อย บริการดี
มีเว็บไซต์ร้านไปอี้ก จิ้ม https://www.uogashizushi.co.jp/shop/o-shop/tokyoeki/ 

พอกินเสร็จก็พอจะได้เวลาขึ้น N’EX แล้ว เราก็เลยไปรับกระเป๋าแล้วเข้าไปรอใกล้ ๆ สถานี
กลับก่อนน้า 



ลากันไปด้วยบรรยากาศด้านนอกของสถนีโตเกียว
Lastly, I made this summary map!! 

และนี่คือภาพรวมแพลนที่เราทำเอาไว้ก่อนเดินทาง แล้วก็มาอัพเดทตอนกลับมา
ปิดท้ายจริง ๆ ด้วยกาชาปองจากทริปนี้ซักหน่อย
💸💸💸💸
Comments
Post a Comment