Maldivian Style: Maldives First Time 2018
จริงๆตอนแรกแอบเขียนไว้เยอะมากแล้วนะ แต่รู้สึกว่าเราต้องอธิบายอะไรบางอย่าง
ให้ทั้งตัวเอง และทุกคนที่กำลังจะได้อ่านข้อมูลด้านล่างเข้าใจเอาไว้ก่อน
เรารู้ว่าภาพจำมัลดีฟส์ของคนส่วนใหญ่คือเกาะส่วนตัว หาดสวรรค์ ทริปดำน้ำสุดหรู
ที่พักอลังการ บ้านงอกลงไปในน้ำ สามารถใส่บิกินี่วันละกี่ชุดก็ได้
แต่อยากให้ทุกคนเปิดใจใหม่ และลองมองมัลดีฟส์ในอีกแบบไปพร้อมกับเรา
อาจจะโปรยมาดูโลกสวยนะ ยอมรับว่าตอนแรกเราก็เฟลเหมือนกัน
เราอยากไปบ้านหรูกลางน้ำ ว่ายน้ำกับปลาฉลาม พายเรือคายัค ถ่ายแฟชั่นเซ็ทแบบแม่อั้ม
แล้วเราก็กำเงินหลักหมื่นที่คิดว่า เอ้อ ตอนนี้เอาแค่นี้ก่อน ลองไปดูก่อนว่ามัลดีฟส์มันมีอะไร
ดูเท่าที่เรามีกำลังจะดู ในอนาคตมีกำลังมากกว่านี้แล้วค่อยไปดูใหม่ก็ได้วะ
เราจะตั้งชื่อทริปนี้แบบตอแหลๆ ว่า #UnexpectedMaldives เพราะกูไม่ได้เตรียมตัวไปเลยจ้า
ตอนแรกที่เราเริ่มหาทริป เราเขียนข้อความถึงตัวเองไว้ ตั้งแต่ครึ่งปีที่แล้วอ่ะก่อนไป
ใจความทั้งหมด เราแปะไว้ตรงนี้ เพราะไม่อยากลบออก ซึ่งจริงๆก็พูดถึงเกาะที่ไปนิดหน่อย
-----------------------------------------------------------------------------
โอเค เริ่มรู้สึกว่านี่คือยุคทองของเรา 2 คน ในการไปเที่ยวไกลกว่าเดิม
ต่อไปอาจจะลองตั้งมิชชั่นดูก็ได้นะ ว่าต้องไปที่นี่ ต้องทำอย่างนี้
เพราะตอนนี้รู้สึกจะวู่วามเหลื้อเกิน 555555 แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็วางแผนละ
ว่าต้องไปสอยกระติกน้ำมินเนี่ยนที่ยูนิเวอแซลญี่ปุ่นมาให้ได้
เอาล่ะ เราอย่าไปพูดถึงทริปที่มันยังไม่เกิดขึ้นเลยดีกว่า
มาดูทริปนี้ของเรา ทริปที่เรียกได้ว่า มีตังก็ใช้ๆ ตายไปก็เอาไปไม่ได้ของจริง
มัลดีฟส์ ยังไม่มีชื่อทริป 555555555 บอกได้เลยว่า โคตรวู่วาม
หลังจากวู่วามกดจองจ่ายตังไปแล้ว ถึงได้มาตระหนักถึงความยากลำบากในการไปใช้ชีวิตจริงๆ
เราเสิชหาข้อมูลของเกาะที่จะไป หลังจากจองไปแล้ว เออ เอาดิ คิดดู
ไปตายเอาดาบหน้ามากๆ บ้าบอ เราจองโรงแรมไปบนเกาะที่ชื่อว่า Maafushi
ชื่อโรงแรม Kaani Hotel เพราะว่า เอาตรงๆ อยากนอนโรงแรมที่มันงอกลงไปในน้ำอ่ะ
แต่ด้วยกำลังงบประมาณ ก็เลยเอาวะ เอาแค่นี้ก่อน อย่าหาว่าอุตส่าห์ได้ไปครั้งนึง
น่าจะเอาให้สุดเลยนะ กลัวว่ากลับมาจะต้องรับทานมาม่าไปเป็นเดือน 55555555
อ่ะ ข้อมูลที่เราหามาได้ เกี่ยวกับโรงแรมและเกาะที่เรากำลังจะไปพัก
แม่งโชคดีมาก ตรงที่มีคนไปโรงแรมนี้บนเกาะนี้แล้วเขียนรีวิวมาพอดี
เอ้อ ดีใจ เจอคนที่มีประโยชน์จริงๆ ไม่เหมือนเรา 5555555555555
สิ่งที่เราควรรู้ เกี่ยวกับการไปเกาะ Maafushi คือ ชาวมัลดีฟส์จะเป็นมุสลิมเกือบทั้งหมด
หรือทั้งหมดเลยมั้ง ก็จะเคร่งเรื่องการแต่งกายและการดื่มแอลกอฮอล์มาก
เราจะไม่สามารถใส่บิกินี่ หรือเครื่องแต่งกายที่คล้ายกัน หรือไม่สุภาพ เดินบนเกาะได้
แต่ไม่ต้องห่วง เพราะเราไปทะเล เราก็ย่อมอยากใส่ชุดว่ายน้ำใช่ม้ะ
นางก็จะมีโซนให้ เป็นหาดปิด ล้อมไว้ ตามที่ในรีวิวบอกนะ
ให้ใส่ชุดวับแวมได้เฉพาะที่หาดนี้เท่านั้น อย่าไปแหกกฎล่ะ
เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตามนะ
ส่วนเรื่องแอลกอฮอล์ ทางโรงแรมก็จะมีบริการ cruise bar ให้ คือนั่งเรือออกไปเมากันกลางน้ำ
เมาเหล้าเหรอ เมาเรือเนี่ยแหละมึ้งงง 5555555 ก็นั่นแหละ เป็นแบบบาร์ลอยน้ำ เบาๆ
อันนี้ก็มาเขียนก่อนไปจริงนะ เพราะว่าทางที่พักส่งอีเมลล์มาสอบถามเรื่องไฟล์ท
มากี่โมง ลงกี่โมง เพราะนางจะส่งเรือมารับ แต่เป็นเรือแชร์ ที่ถามคือจะได้แมเนจให้
แล้วในอีเมลล์ก็มีแจ้งขนบของทางเกาะ รวมถึงเรื่องกิจกรรมต่างๆที่สามารถทำได้
ตามที่เราเล่าไปข้างบน นางซีเรียสมาก เรื่องบิกินี่ยังมีหาดอนุโลมให้ใส่ได้ในขอบเขต
แต่เรื่องแอลคือเขียนมางี้เลย Alcohol is strictly prohibited in the island!!!
เครื่องหมายตกใจเราใส่เอง จริงๆเขาใส่แค่ full stop 55555 ทำเป็นสีชมพูให้ดูซอฟท์
ทีนี้มันก็จะมีเรื่องค่าเงินที่เราต้องแลกไปใช้ใช่ม้ะ อันนี้มันจะไม่เหมือนตอนสิงคโปร์
เพราะว่าตามที่เราอ่านกระทู้รีวิวของคนนั้นอ่ะ เขาบอกว่า ที่นี่จะมีสกุลของตัวเอง MVR ของมัลดีฟส์
และสกุลสากลที่ใช้กันแพร่หลายด้วย ก็คือ USD ดอลล่าร์สหรัฐนั่นเอง
แต่พอเขาส่งอีเมลล์มา ก็มีการยืนยันว่า สามารถใช้อะไรก็ได้ใน USD, MVR และ credit card
เออ แต่ใช้ EURO ได้ด้วยนะ แต่ถ้าให้เซฟความรอดที่สุดก็น่าจะต้องเป็น USD หรือเปล่า
ทริปนี้เราแพลนจะซื้อโกโปรกันไป ลองมาดูว่าได้หรือเปล่า 555555555555
-----------------------------------------------------------------------------
อ่ะ ข้อความด้านบนที่ได้อ่านไปคือเขียนไว้ก่อนที่จะได้มาทริปจริงนานมาก
ถึงเวลาต้องลงสนามจริง เราก็ไปลงและกลับมาแล้ว ได้รูปที่เรียกว่า มึงไปมัลดีฟส์มาจริงดิ
แต่ จริง เรื่องจริง จ่ายจริง เหนื่อยจริง ร้อนจริง เพราะฉะนั้น วอนเห็นใจ 555555555
วอนนนนนน 555555555555555
เราออกเดินทางวันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม ออกจากบ้านเนี่ย ตี 5 หน่อยๆ
เรียกได้ว่าแพนิคกันเลยแหละ เพราะในเว็บมันขึ้นว่าไม่ให้เช็คอินออนไลน์
ก็เลยออกไปเพื่อจะไม่มีโอกาสเสี่ยงในการตกเครื่องที่จะต้องขึ้นตอน 8 โมง
เราไปถึงสนามบิน และยังไม่มีช่วงเวลาขึนให้เช็คอินเลย แต่เราแพนิคมาก
เลยไปถามพนักงาน และได้เรื่องว่าเข้าไปเช็คอินได้เลย ก็เลยเช็คแล้วไปหาอะไรกิน
การเดินทางก็ไม่มีอะไรมาก เช็คอิน เข้าเกท รอบอร์ดเหมือนเดิม
แต่รอบนี้จะต่างไปตรงที่ใช้เวลาบินนานมากร่วม 4 ชั่วโมงกว่า
และมาถึงสนามบิน Velana International Airport ประเทศมัลดีฟส์เวลา 11.40 น.
ซึ่งเวลาท้องถิ่นของประเทศมัลดีฟส์จะช้ากว่าประเทศไทยบ้านเราอยู่ 2 ชั่วโมง

มาถึงแล้วจ้า สนามบินเวลาน่า
เริ่มเห็นกลุ่มเกาะตอนใกล้ๆจะแลนด์
มาถึงแล้วจ้า สนามบินเวลาน่า
สิ่งที่เราต้องทำเมื่อมาถึงยังสนามบินเวลาน่าคือ เดินไปหาซื้อซิมการ์ด
ซึ่งมันจะมีอยู่ 2 ค่ายที่เห็นได้ชัด โฆษณาอยู่แพร่หลาย และตั้งอยู่ติดกัน
คือ Ooredoo ค่ายสีแดง และ Dhiraagu ค่ายสีส้ม
เราเลือกซื้อค่ายสีส้มด้วยแพคเกจ 16USD/3GB/7days/Internet Only
หลังจากได้ซิมการ์ด เราก็จะไปข้ามเรือไปยังเมืองหลวงมาเล่กัน เพื่อไปต่อเรืออีกที
เราเดินตรงออกมาหลังจากถาม information หนุ่ม เดินมาเกือบๆจะถึงท่าเรือ เพื่อซื้อตั๋ว
จริงๆมันก็หาไม่ยากเท่าไหร่ อยู่หน้าร้านอาหารไทย เป็นตู้ๆลายไม้ เห็นชัดเจน
ตั๋วเฟอร์รี่ไปมาเล่ราคาคนละ 1USD จะได้ตั๋วมาคนละ 1 ใบ
แล้วเอาไปให้คนที่ยืนรออยู่หน้าเรือ ขึ้นไปนั่งแล้ว ก็ออกไปกันเล้ยย
แล้วเอาไปให้คนที่ยืนรออยู่หน้าเรือ ขึ้นไปนั่งแล้ว ก็ออกไปกันเล้ยย
ไปด้วยนะจ๊ะพี่จ๋า
จริง ๆ ถ้าลองสังเกตดี ๆ น้ำตรงมุมฝั่งซ้ายจะสีอ่อนกว่าตรงพื้นที่ฝั่งขวา
เพราะมันเป็นขอบของเกาะพอดี แบบตรงที่เป็นเกาะ พื้นข้างใต้จะเป็นสีขาว แบบทรายอ่ะ
ซึ่งตอนที่นั่งเครื่องมา เราจะเห็นจากข้างบนว่า บางพื้นที่ที่เป็นสีขาว ๆ เนี่ยจมอยู่ในน้ำด้วย
ตอนนั่งเรือก็เห็นนะ แต่มันจะเป็นคนละตรงกันกับที่เป็นปะการังนะ
ใช้เวลาแปปเดียวก็ถึงมาเล่ ลงมากะว่าจะหาอะไรกิน
ก็มีหนุ่มมัลดีเวี่ยนเข้ามาชาจ ตอนแรกคิดว่าจะมาขายตั๋วเรือด่วนไป Maafushi
เลยบอกไปว่า จะไปหาอะไรกิน ที่ไหนได้ นางมาถามเรื่องกินข้าวเนี่ยแหละ
เลยหลวมตัวเดินตามมาจนถึงร้านอาหาร ชื่อว่า Food Bank ซี่งนางเคลมว่าเนี่ยอาหารพื้นเมือง
ระหว่างที่เราเดิมตามอยู่ พี่เจก็ได้ถ่ายรูปบ้านเมืองเก็บไว้บ้าง
ตอนหลังพี่เจมาบอกว่า ไม่กล้าถ่ายเยอะๆ กลัวหันมาอีกทีแกหายไปแล้ว บรื๋อ

อันนี้คือเรือที่เรานั่งมาจากสนามบินมาลงเกาะมาเล่
คาดว่าน่าจะเป็นโรงเรียน

ระหว่างที่เราเดิมตามอยู่ พี่เจก็ได้ถ่ายรูปบ้านเมืองเก็บไว้บ้าง
ตอนหลังพี่เจมาบอกว่า ไม่กล้าถ่ายเยอะๆ กลัวหันมาอีกทีแกหายไปแล้ว บรื๋อ
อันนี้คือเรือที่เรานั่งมาจากสนามบินมาลงเกาะมาเล่
บ้านเมืองค่อนข้างแออัด แล้วก็มีก่อสร้างอยู่หลายจุด
แถวท่าเรือก็มีร้านอาหารอยู่
ยานพาหนะส่วนใหญ่ของคนที่นี่ดูท่าจะเป็นมอเตอร์ไซค์
อาจจะเพราะเป็นเกาะที่มีพื้นที่ไม่เยอะมาก
คาดว่าน่าจะเป็นโรงเรียน
เราไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมมา บอกว่าเริ่มแรกศาสนาของมัลดีฟส์คือ ศาสนาพุทธ ด้วยนะ
แต่ต่อมาภายหลังประชากรก็เริ่มไปนับถือศาสนาอิสลาม และกลายเป็นประเทศอิสลามในที่สุด
เดินตามหนุ่มมัลดีเวี่ยนคนนี้แหละ
มาถึงร้านอาหารแล้ว ตอนแรกกลัวมากว่าจะแพงหรือเปล่า แต่ก็ทำใจดีสู้เสือเข้าไป
อาหารที่รับประทาน พูดตรงๆว่าไม่ถูกปาก จะไม่บอกว่าไม่อร่อยแล้วกัน
ถือว่าไม่ใช่จริตทางรสชาติที่น้องถูกใจอ่ะ เราสั่งเบอร์เกอร์ไก่ และเบอร์เกอร์ปลา
และ Maldivian Omelet ซึ่งชอบออมเลตนะ รสชาติน่ารักดี มีซ่อนความเผ็ดไว้
แต่ความพิศวงมันก็เริ่มตั้งแต่มื้อแรกตรงที่ ไก่แม่งเหมือนปลา ส่วนปลากลับเหมือนไก่
ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ รสชาติและผิวสัมผัสก็แทบจะใช่ เราเลยเข้าใจผิดว่าได้สับกัน
กินไปกินมา เห้ย ปลาก็คือปลา ไก่ก็คือไก่ว่ะ ค่าเสียหายมื้อนี้โดนไป 25 USD
เบอร์เกร์ไก่ที่เหมือนปลา ลืิมถ่ายให้เห็นเนื้อมัน ซอรี่
Maldivians Omelet อันนี้อร่อย ยกให้ชนะ
เบอร์เกอร์ปลาที่เหมือนไก่
หลังจากออกจากร้านอาหาร เราก็ขึ้นแทกซี่ไปยังท่าเรือเฟอร์รี่ที่จะพาเราไปเกาะ Maafushi
ซึ่งก่อนจะขึ้นแทกซี่เนี่ย ตอนแรกหนุ่มที่พาเรามาร้านอาหารบอกว่า มันเดินไปได้นะ
เราก็เลยลองเดินไปตามทางที่นางบอก เดินไปนิดนึงพี่เจบอกว่า ไม่เอาดีกว่านั่งแทกซี่เหอะ
แล้วพอขึ้นมานั่งแทกซี่อ่ะ แม่งเป็นทางที่เดินไปไม่ได้อ่ะ ต้องนั่งแทกซี่อ่ะ
ถ้าเดินน่าจะครึ่งวัน อยากกลับไปจิกหัวบอกว่า แบบนี้มันเรียกเดินไม่ได้ว่อย!!
แทกซี่ที่นี่เหมือนจะคิดราคาแบบวินมอไซค์ คือไม่มีมิเตอร์ คิดตามจุดเริ่มต้นและปลายทาง
มาถึงท่าเรือเฟอร์รี่เราก็เดินเข้าไป จริงๆอ่านรีวิวมากเยอะมาก ก็เข้าใจว่า
ถ้าจะซื้อตั๋วไป Maafushi ให้ไปที่ช่องที่ชื่อ Vilingili แต่พอไปถาม เขาบอกให้ไปช่องข้างๆ
อ่ะสาบานว่าเลือกวิธีการเดินทางด้วยเฟอร์รี่เพราะเรื่องเงินล้วนๆเลย ไม่ได้นึกถึงเวลาที่ใช้ใดๆทั้งสิ้น
แทกซี่ที่นี่เหมือนจะคิดราคาแบบวินมอไซค์ คือไม่มีมิเตอร์ คิดตามจุดเริ่มต้นและปลายทาง
ตอนที่เดินไปหาแทกซี่ เจอไอที่นั่งนี่ ชอบมาก มันแบบดีอ่ะ คิดได้ไงอ่ะ 555555
มาถึงท่าเรือเฟอร์รี่เราก็เดินเข้าไป จริงๆอ่านรีวิวมากเยอะมาก ก็เข้าใจว่า
ถ้าจะซื้อตั๋วไป Maafushi ให้ไปที่ช่องที่ชื่อ Vilingili แต่พอไปถาม เขาบอกให้ไปช่องข้างๆ
ควักเงินก่อนนะ
ตั๋วที่ได้มา
อ่ะสาบานว่าเลือกวิธีการเดินทางด้วยเฟอร์รี่เพราะเรื่องเงินล้วนๆเลย ไม่ได้นึกถึงเวลาที่ใช้ใดๆทั้งสิ้น
วิธีการเดินทางไปยังเกาะต่างๆ ถ้าอ่านจากรีวิวที่มีประโยชน์อ่ะนะ ก็จะทราบว่า
มีหลักๆ 3 วิธี คือ 1) เรือเฟอร์รี่ คนไปด้วยกันเยอะๆ ค่าเสียหายน้อยสุดคนละ 2USD
ใช้เวลานานมาก ร้อนมาก อ้วกจะแตกก็ต้องทน สิริรวมเวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงจากประสบการณ์จริง
2) เรือสปีดโบ้ท เร็วขึ้นมา 2 เท่า แทบจะ 3 มั้ง ค่าเสียหายนี่ 10 เท่าไปเลยจ้า
จาก 2 เป็น 20 - 25USD แล้วแต่โรงแรม หรือบริษัทสปีดโบ้ทนั้นๆอยากเก็บ ก็แล้วแต่
สุดท้าย 3) ซีเพลน ซึ่งไม่ทราบได้ว่าเท่าไหร่ และไม่สนใจเพราะไม่มีปัญญา จบ
ระหว่างที่รอเรือมาเทียบท่า เรีือมาบ่าย 2 ครึ่ง ออกบ่าย 3
ตามติดชีวิตเด็กทุกที่
เรือมาแล้ว ก็เอาตั๋วไปฉีกแล้วขึ้นเรือกัน
ไปจ้า
ระหว่างทางมีฝนตกด้วย ร้อนอบอ้าวหนักไปอีก
ถึงแล้วววว สังเกตการแต่งกายของชาวบ้านชาวเมือง ก็จะเป็นมุสลิม มิดชิดกันหมด
หลังจากสัมผัสประสบการณ์อันเลวร้ายจากเรือเฟอร์รี่ ตั้งแต่บ่าย 3 ถึง 5 โมง
เราก็ได้ฤกษ์ลงจากเรือ และเดินทางเข้าสู่ที่พักสักที ซึ่งตอนนี้ก็จะมีพนักงานของโรงเเรมมายืนรออยู่
เรามาถึงโรงแรมและพบว่า พนักงานจะอัพเกรดห้องให้
จากตอนแรกเราจอง Kaani Beach Hotel มา เป็นแบบเล็กๆ มีไม่เกิน 3 ชั้นมั้งนะ
ซึ่งตอนนี้จะขอเล่าเรื่องเพื่อนมาเลเซียที่เจอ จากความเข้าใจผิดตอนแรกคิดว่าเป็นคนไทย
เราก็ไปทักเขาด้วยความเผือก ว่าจะไปที่เกาะไหน กลายเป็นว่าเขาพูดภาษาไทยไม่ได้
เราก็เลย Sorry sorry แล้วเราถามว่ามาจากประเทศอะไร เขาก็บอกว่ามาเลเซีย
เราเลยคุยต่อไปว่าเขาจะไปพักที่โรงแรมไหน กลายเป็นว่าจองโรงแรมเดียวกันมา
จากนั้นเราก็เลยเกาะติด 2 คนนั้นไปตลอด เหมือนเป็นกาฝากการท่องเที่ยวอ่ะ
ชาวมาเลเซีย 2 คนก็ได้อัพเกรดห้องพักเป็นอันเดียวกับเราเช่นกัน
คือจริงๆเราแอบจำได้ว่า เขาคือคนที่โดนลากมากินข้าวร้านเดียวกับเรา
พอมาที่ท่าเรือเลยจะเม้าเรื่องนี้ซะหน่อย แต่กลับไม่ใช่คนไทยเลยไม่ได้เม้า 555555
หลังจากได้รับแจ้งว่ามีการอัพเกรดห้องพัก ก็มีพนักงานถูกส่งตัวมาขายทริปดำน้ำของวันพรุ่งนี้
แต่ก่อนที่จะมาคุยกับพนักงาน เรามีแอบคุยกับคู่รักมาเลเซียไว้แล้วว่า เออมีดูทริปมา
ของบริษัททัวร์ ที่ชื่อ icom มัน locate อยู่บนเกาะนี้แหละ เดี๋ยวลองเดินไปดูกัน
คนยิ่งเยอะน่าจะยิ่งถูกลง และส่วนมากทริปจะต้องซื้อขั้นต่ำ 4 คน ถึงจะสามารถออกไปได้
แพคเกจที่เราฟังจากทางโรงแรมก็จะมีดำน้ำ 2 จุด รับประทานอาหารเที่ยง
ดำน้ำต่ออีก 1 จุดและไปดูปลาโลมา ราคา 35USD ต่อคน ซึ่งค่อนข้างแพงมาก
และพนักงานโรงแรมคนนั้นก็ไม่ยอมให้เราปรึกษากันแม้แต่น้อย แบบไม่ลุกออกจากโต๊ะไปอ่ะ
เราเลยพูดออกไปว่า ขอปรึกษากันหน่อย เขาเลยเดินออกไปจากโต๊ะ
แต่ก็มาเร้าๆ มาดูใกล้ๆ เหมือนจะให้เลือกทริปของโรงแรมเนี่ยแหละ
แต่สุดท้ายเราก็ไม่ได้เลือกทริปของโรงแรม และไปเช็คอินขึ้นห้องกัน
พนักงานพาเราเดินมาอีกตึกนึง ซึ่งก็ใกล้ๆกันนั่นแหละ แต่เรายังคุยกันไม่เสร็จ
แล้วพนักงานก็มีถามว่า เราเป็นใครมาจากไหนอะไรยังไง แล้วจะพาขึ้นห้อง
ทีนี้ ความบูดก็ยังไม่เลิกราจากน้องไป ไม่รู้ว่าทำตัวดึงดูดความโมโหร้ายจากคนอื่นหรือเปล่า
เรายังต้องการไปต่อกับคู่รักมาเลเซีย เราเลยไม่ยอมแยกจากเขา จนรีเซฟชั่นถามว่า
Are you the same family? เราก็บอกเปล่าๆ แล้วขำๆ จากนั้นนางก็จะนำเราไปห้อง
นางถามเราว่า จะขึ้นไปพร้อมกันมั้ย หรือจะรออยู่ข้างล่าง ห้องอยู่คนละชั้นนะ
เราก็แบบว่า ยังไม่ได้ขอแนวทางสื่อสารเลยอ่ะ ไปด้วยละกัน เลยบอกไปด้วยจ้า
นางก็พูดย้ำว่า อยู่คนละชั้นนะ เราชั้น 6 ส่วนสองคนนั้นชั้น 4 เราก็ไปด้วยจ้า จะไปจ้า
นางก็ตอบกลับมาว่า ให้นั่งรอข้างล่างดีกว่า อะไรของเมิงงงงงงงแม่หญิง กูงง 555555
แล้วถามไมอ่ะ ถามทำไม ถามทำไมก่อน วุ้ย! แต่สุดท้ายก็ได้ทวิตเตอร์เพื่อนมาเลเซียมา
เรียกเพื่อนแล้วนะตอนนี้ 555555555
รีเซฟชั่นนางขึ้นไปส่งเพื่อนก่อนที่ชั้น 4 แล้วลงมามองแรงใส่น้องทีนึงแล้วให้คนอื่นไปส่งน้อง
เป็นไรมากเปล่า เหนื่อยล้าจากการทำงานแล้วมาลงที่น้องเหรอ น้องก็เหนื่อยล้าจากการเดินทางนะ
วันแรกผ่านไปแบบไม่ได้ทำอะไรเลย แบบอ่านมาถึงตรงนี้แล้วอย่าซ้ำเติม 555555555555
หลังจากฝ่าฟันทุกอย่าง เราก็นัดกับเพื่อนมาเลเซียของเราว่า เอ้ย ทุ่มนึง ไปดูทริปกัน
พอถึงเวลาก็เลยลงมาดูทริปกัน ไปที่ icom ที่เราหวังเอาไว้ ก็ไปถามข้อมูล
ทริปของ icom ไปสถานที่น้อยกว่าของโรงแรม 1 ที่แต่ถูกกว่า 10USD เราเลยตกลงเลือก
จ่ายมัดจำไป 10USD แล้วค่อยไปจ่ายที่เหลือพรุ่งนี้ เพราะมันมีในส่วนของเคสที่ว่า
ถ้าอากาศไม่เป็นใจ ฝนตกตั้งแต่เช้า เราจะไม่ต้องไปทริปนั้น และจะได้เงินคืน
แต่ถ้ามีวันอยู่ต่อก็จะเลื่อนวันออกทริปไปให้ มันดีตรงนี้ ถ้าฝนตกก็ไม่ต้องไป
ซึ่งแนวโน้มค่อนข้างสูง เพราะช่วงที่เราไปคือช่วงนี้อ่ะ มันเป็นหน้าฝนกรายๆ พอดี
ตารางทริปของวันพรุ่งนี้
ท่านรีฟ คนรับจองทริป แล้วก็ออกเรือไปกับเราด้วย
อ่ะ พอเราจ่ายเงินค่ามัดจำเรียบร้อย เราก็ไปหาข้าวเย็นรับประทานกัน
บอกได้เลยว่า ยากมาก จริงๆแอบอยากรู้ว่าถ้าอยู่เกาะส่วนตัว ข้าวเที่ยงข้าวเย็นนี่คือยังไง
เราลองๆเดินดูว่าในเมืองมันมีอะไรบ้าง แต่ก็ดูมืดไปหมดแล้วทุกอย่าง เลยตัดใจ
กลับมารับประทานของโรงแรมที่นอน เป็นอาหารเย็นแบบบุฟเฟต์ หรือจะสั่งจานเดียวก็ได้นะ
เราเลือกทานแบบบุฟเฟ่ต์คนละ 15USD แต่ก็มีแต่อาหารที่เฉยๆอ่ะ ที่จะอร่อยหน่อยก็ขนม
มีร้านของฝากที่พี่เจถ่ายมาเบลอ จะตั้งอยู่ระหว่างทางจากโรงแรมไป icom
จบคืนแรกไปแบบใสๆ ไม่มีอะไรให้ทำเท่าไหร่ต้องยอมนอน เพราะเหนื่อยจากการเดินทางด้วย
อันนี้ก็ขายของฝากเหมือนกัน
คือนี่มันมื้อเย็นนะ ทำไมกินอาหารแบบนี้ด้วยอ่ะ
ขนมอันนี้อร่อยสุด รสชาติเหมือนบานอฟฟี่เลย มีกล้วยอยู่ข้างล่าง
ดีใจที่มีผลไม้ทรอปิคอลให้รับทาน
ตื่นเช้ามาอีกวัน ก็ต้องเตรียมตัวไปทริป แต่ดีหน่อยที่มันเริ่มสาย ตั้ง 10.30 น. แน่ะ
วันนี้เราก็ตื่นเช้าหน่อยเพราะอยากลงไปเดินเล่น ถ่ายรูป ชมเมือง ดูชุมชน
ก็ไปถ่ายรูปที่ทุกคนมาเม้นว่าพัทยา บางปู หัวหิน บางแสนนั่นแหละ 555555
เอ้อ เรารับทานอาหารเช้าของโรงแรมนะ สิ่งที่ชอบของวันนี้คือ ไข่ที่มันอยู่ในขนมปังอ่ะ กับมันฝรั่ง
นี่คือไข่ที่ว่า ถ่ายมาแบบไม่ตั้งใจโคตร 555555 มีซีเรียลที่อันโกโก้ครั้นช์โคตรแข็ง
มีมันฝรั่งที่บอกว่าชอบหลบอยู่ใต้ขนมปัง เหลืองจนพี่เจคิดว่าสับปะรด มีน้ำองุ่น
ตอนแรกจะไปตัดต่อบ้านงอกมาแปะแล้ว แต่ขี้เกียจ 55555555555555
ตรงนี้คือบิกินี่บีช อยู่หน้าโรงแรมเราพอดี มีป่าหญ้าล้อมรอบ วับแวมได้แค่ในโซนนี้
ผู้ชายคนนี้ตลกมาก คือเดินมานอนแล้วส่งเสียงร้องนิดหน่อยแบบปลดปล่อย
ส่วนสาวๆก็จะชิวๆหน่อย
ตรงนี้ไม่ใช่หัวหินนะ ไม่ต้องทัก 5555555555555
ในน้ำตรงนี้จะมีปลาฝูงนึงว่ายอยู่ ตอนแรกเห็นเด็กลงไปเล่นกับพ่อ
ก็เลยเดินไปใกล้ๆจะไปทักเด็กเล่น เห็นว่ามีปลา เลยลองเดินลงไป มันก็ว่ายแตกเป็นวงๆ
แล้วพอมีคลื่นซัดมา ก็จะตกใจว่ายกระโดดๆ เราก็ตกใจด้วย 5555555
ตามเด็กๆไป!
หลังยอกนิดหน่อย
ร้านน้ำปั่น
กราฟิตี้
มาฟูชิเนี่ย เป็นเกาะขนาดประมาณ 2 กิโลเมตรเท่านั้น จากปลายฝั่งนึงไปอีกฝั่งนึง
แต่มีโรงเรียนนะจ๊า คืออยากรู้มากว่า เข้าเรียนเลิกเรียนกี่โมง
เพราะตอน 8 โมงเห็นเด็กๆเดินไปเรียน แต่ตอน 10 โมงก็ยังมีอยู่ หรือจะแบบไปโรงเรียนสาย
พอถ่ายรูป เดินเล่นเสร็จ ใกล้เวลาทริปแล้วก็เดินไปที่ icom กัน
พอเราไปถึง เพื่อนมาเลเซียก็มารออยู่แล้ว พร้อมมาก
จริงๆเมื่อคืนตอนที่คุยกับพนักงานโรงแรมที่มาขายทริป
เพื่อนพยายามถามเรื่องไปดำน้ำกับลูกปลาฉลาม
พนักงานก็อธิบายว่า การไปทริปดำน้ำแต่ละอันมันจะมีเลเวลอยู่
ตรงลูกปลาฉลาม น้ำค่อนข้างแรง เราสามารถว่ายน้ำได้แข็งหรือไม่ ว่ายโดยไม่มีชูชีพได้หรือเปล่า
ซึ่งจากปากของคนว่ายน้ำเป็นอย่างเรา เรายังไม่อยากสู้แรงคลื่นของน้ำทะเลเลย
แต่คนที่ไปอยู่หลายวัน มันจะมีคอร์ส scuba ให้ไปแบบดำน้ำลงไปที่ไม่ใช่ผิวน้ำอ่ะ ก็น่าสนใจเหมือนกัน
เราเข้าไปใน icom พนักงานก็พาไปรับตีนเป็ด วิธีเลือกตีนเป็ดของเรา เราว่าควรใส่ให้มันพอดีมากๆ
คับได้เลยยิ่งดีมั้ง เพราะเวลาว่ายน้ำ เราต้องรู้สึกเป็นส่วนนึงกับมันอ่ะ เหมือนมันคือตีนเรา 555555
โทษที เท้าเยอะไปหน่อย
นอกจากตีนเป็ดก็มีแว่นดำน้ำกับท่อหายใจ และเสื้อชูชีพที่ไม่มีสายคล้องขา แต่แน่นหนามาก ดีๆๆ
แล้วก็มีผ้าขนหนูให้ด้วย หลังจากแจกของ พนักงานก็ไปเตรียมเรือ เตรียมอุปกรณ์
เราก็นั่งรอ พอเรียบร้อยก็ออกไปกัน ตอนแรกเราคิดว่า เดี๋ยวมีคนอื่นด้วย มารวมกันงี้
เราเดินทางด้วยสปีดโบ้ท ไปที่ดำน้ำจุดแรก ก็ดูปลา ว่ายน้ำ ไปใกล้ๆเกาะส่วนตัวอันนึง
แต่เราไม่สามารถขึ้นไปได้ ตอนดำน้ำเนี่ย ไกด์ก็จะแนะนำก่อนว่า ถ้าไปใกล้ปะการัง ห้ามไปยืน
จริงๆอย่าว่ายไปตรงปะการังตื้นๆเลยแหละ เดี๋ยวพลาดเอาตีนเป็ดไปปาด 55555
มีเรื่องน่าเศร้าอีก 1 อย่าง คือ ยืมกล้องพี่วิมา กล้องที่จะดำน้ำไปถ่ายภาพได้อ่ะ
แล้วตอนที่มาถึงจุดดำน้ำจุดแรก เราก็หยิบ เตรียมมันออกมา แล้วพี่เจก็เปิดเคสใช่ม้ะ
เราก็เป็นคนปิด เพื่อจะได้เอาไปถ่าย จังหวะที่เราปิดอ่ะ เคสแม่งหัก แตกคามือเลย แง
สุดท้ายต้องเอาเก็บไว้ในกระเป๋า นอนตายอยู่ในนั้น อุตส่าห์ยืมมา เสียใจ
และนี่คือภาพสุดท้ายก่อนทำเคสกล้องหัก พยายามต่อกล้องกับมือถืออยู่
ภาพรวมน้ำและความอุดมสมบูรณ์ของการดำน้ำที่นี่ถือว่าดีนะ
แบบเออใต้น้ำมันไม่เหมือนกันอ่ะ มีปลาหลายพันธุ์มาก แล้วก็ปริมาณเยอะ
จบจุดแรก น่าจะประมาณครึ่งชั่วโมง 45 นาทีแหละ เราก็ไปจุดที่ 2
ที่จะมีคุณปู่เต่าอยู่ ตอนแรกก็กลัวแป้วว่าจะไม่เจอ เพราะตอนแรกเขาจะเคลมไว้ก่อนเลย
ว่าทุกอย่างมันธรรมชาติมาก เราไม่ได้เซ็ทไว้ เพราะฉะนั้นอะไรแบบนี้จะ 50/50 มาก
แต่เราก็ได้พบกับคุณปู่เต่าตามใจปรารถนา เหมือนไกด์ไปต้อนให้ว่ายขึ้นมาตัวนึง
ก็เลยได้เห็นแบบใกล้ชิด แต่ห้ามจับ ห้ามไปแตะนะ ตอนได้ว่ายไปใกล้ๆกลัวเผลอโดนมาก
สวัสดีค่ะคุณเต่า
รูปที่เพื่อนได้
รูปที่เราได้ พี่เต่าแหงนไปไหนอ่ะ
อีกรูป เกือบมองไม่เห็นเรา 55555
อ่ะ group shot ซะหน่อย
หลังจากจบจุดที่ 2 เราก็ไปกินข้าวที่ sand bank กัน ซึ่งตอนแรกเราเข้าใจว่ามันคือชื่อเกาะ
แต่มันน่าจะเป็นชื่อ type ของเกาะมากกว่า แบบที่มีแต่หาดทรายและหญ้านิดหน่อย
ก่อนมา เพื่อนมาเลเซียมีถามว่า จะกางร่มให้หรือเปล่า เพราะนั่งกลางแดด
ทางนั้นเขาก็บอกว่ากางนะ เห็นเหมือนเตรียมร่มมาด้วย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กาง งงมาก
ตอนนี้จะได้กินข้าวแบบ light lunch คือ light มากจริงๆอ่ะ มีแซนวิช 2 ชิ้น กับเฟร้นฟรายแห้งๆ
และส้ม 2 ซีก แบบครึ่งลูกด้วยนะ แตงโม 3 ชิ้น จบ อ่อๆ มีน้ำเปล่าและน้ำผลไม้ด้วย
จากนั้นก็พักผ่อนตามอัธยาศัย รอว่าเขาจะเรียกไปขึ้นเรือเมื่อไหร่ ถ่ายรูป นอนเล่น เล่นน้ำไปบลาๆ
sand bank ก็จะมีแต่ sand กับ sand ไม่ได้ถ่าย light lunch มานะ กลัวไม่ได้กิน
เวลคัมทูมัลดีฟส์จ้าาา
พยายามจะทำท่าสะบัดเสื้อสวยๆ
เอาจริงแดดมัลดีฟส์ไม่แสบนะ แต่ดำมากอ่ะ
เหมือนไปคนเดียวทุกที่ เห้อๆ ขอโทษที่มีแต่น้ำทะเล 5555555555
ตอนก่อนจะมา sand bank ไกด์บอกว่า วันนี้น่าจะไม่เจอปลาโลมา ก็เลยใจแป้วไปแล้ว
แต่พอกลับจาก sand bank กำลังจะถึงมาฟูชิแล้ว ฝูงโลมาก็ว่ายผ่านมา วี๊ดมาก ดีใจ
ก็เลยไปจอดดู แล้วน้องก็ม้วนตัวโชว์สเตปไปแบบ รู้ได้ไงอ่ะว่ามีคนมาดู 555555
มาแล้ว
ไปเลยเจ้าโลมา
วู้ว เย้!
กลับจากทริปก็ยังไม่เย็นเท่าไหร่ เลยไปเดินเล่นในเมืองต่อ ด้วยระยะทางที่ไม่ไกล
แต่แดดจ้ามากแบบ ดำไม่รู้ตัว ตอนแรกมันไม่ร้อนเท่าไหร่ แต่มาตอนบ่ายเนี่ยร้อน
ตอนแรกพี่เจบอกจะเดินให้ถึงสุดอีกฝั่งของเกาะ แต่พอไปตรงที่มันไม่มีต้นไม้ปกคลุมก็ยอมแพ้
แล้วเดินกลับไปเที่ยวเล่นในเมืองแทน
นกแก้วมาคอร์ ให้นักท่องเที่ยวมาซื้ออาหารป้อน ดุมากกกกก
ชอบเก้าอี้นี่มากจริงๆ
บิกินี่บีชยามบ่าย
มัลดีฟส์เมืองซิ่ง
อีกฝากของบิกินี่บีช เป็นถนนโล่งๆ ไม่ค่อยมีร่มเงา
เลยเดินไปดูตรงหาด น่าจะเล่นน้ำไม่ได้
โรงแรมฝั่งด้านนี้จะเจอกับพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า
เพราะฉะนั้นอีกฝั่งน่าจะดีกว่ามาก ได้ทั้งหาด ทั้งพระอาทิตย์ตก
ต๊ะเอ๋
ชอบอันนี้ เหมือนอยู่มาดากัสก้า
ป้ายแฮนด์เมดนี่น่ารักมาก
โรงแรมนี้น่ารัก
ก็ยังชอบเก้าอี้อยู่ มันจะมีแบบที่เป็นชิงช้าด้วยนะ ชิคเว่อ
บ้านเมืองเหมือนคนน้อยนะ แต่จริงๆคนก็เยอะอยู่
ดูเผ่าๆดี
อ่ะ ไม่ได้โม้
ได้มาถ่ายป้ายตอนจะกลับแล้ว ไม่ได้เวลคั่มตอนมาเลย 555555
อันนี้จะเป็นรายการของกีฬาทางน้ำ ที่จริงๆก็มีเยอะอยู่เหมือนกัน
แต่อย่างที่บอก ต้องมีเวลาอยู่หลายวันหน่อย
พี่เจชาวเล
ตอนนี้เราจะกลับไปอาบน้ำละ แต่มีแวะเข้ามินิมาร์ทซื้อขนมเล็กน้อย
มินิมาร์ทในชุมชนจะใช้ค่าเงินของมัลดีฟส์น่าจะทั้งหมด แบบเข้าไปตอนแรกอาจจะตกใจนิดหน่อย
ไอติมแท่งละ 30 งี้ คิดว่า 30USD แบบแว้บแรกในหัวอ่ะ แต่จริงๆ 1USD จะเท่ากับ 15MVR
จะซื้ออะไรก็ convert กันไป เหมือนได้ใช้วิชาเลขที่เรียนมาตั้งแต่เด็ก เทียบบัญญัติไตรยางค์จ้า
ซึ่งมินิมาร์ทก็ดาษดื่น ขายขนม ยาสระผม สบู่ ของแห้ง ของสด อุปโภคบริโภคไป
ทริปที่เราซื้อ จะมีภาพใต้น้ำมอบให้เราด้วย เป็นคลิปวิดีโอและรูปที่ไกด์ถ่ายให้
ซึ่งไม่ค่อยเห็นเราสองคนเท่าไหร่ ส่วนมากจะเห็นเพื่อนมากกว่า เพราะเพื่อนเข้ากล้องโปรมาก
ส่วนนี่ พี่เจมัวแต่ปวดฉี่ เลยไม่ได้โฟกัสกับอะไรเลย แม้แต่ผู้เฒ่าเต่าก็ไม่ตั้งใจดู 5555555
แต่เรื่องมันมีอยู่ว่า ไกด์จะให้เราไปเอารูปตอน 2 ทุ่ม - 4 ทุ่ม นี่ก็คิดว่าเค้าอาจจะมีอะไรใส่ให้
ก็เลยไปกินข้าวเย็นชิวๆ เป็นเมนูลอบสเตอร์ เห้ยต้องเล่าเรื่องไหนก่อนอ่ะ สับสนไปหมด 55555
เอาเรื่องลอบสเตอร์ก่อนละกัน ตอนแรกเราอาบน้ำเสร็จก็ลงมาเดินกะว่าจะดูว่ากินข้าวที่ไหนดี
แล้วไปเจอร้านนึง อยู่อีกฝั่งหาดกับโรงแรมเรา ขายลอบสเตอร์เป็น 3 ไซส์ เล็ก กลาง ใหญ่
แล้วราคาของไซส์เล็กอ่ะ 40USD เลยถามเค้าว่า เล็กคือแค่ไหน นางก็ตอบว่าแค่ฝ่ามือ เลยไม่เอา
ทีนี้ก็เลยเดินกลับมาที่โรงแรม ดูว่าของโรงแรมเรามีมั้ย ปรากฏว่ามีเว่ย และราคาถูกกว่า
ก็เลย อ่ะวันนี้ฝากท้องที่โรงแรมเราเนี่ยแหละ เป็นเมนูลอบสเตอร์เผาเฉยๆ ขนาด 200 กรัม
ราคาก็จะตามจำนวนกรัม 100 กรัม 11USD เราก็เลือก 200 กรัมละกัน ขนาดเท่าฝ่ามือที่ร้านนั้นบอก
และราคาถูกกว่าถึงครึ่ง ก็โอเค กินกันไปคนละครึ่งตัว แล้วก็สั่งอย่างอื่นมากินร่วมด้วย
อันนี้คือลอบสเตอร์ขนาด 200 กรัม
ปลาทอดที่เหมือนไก่ไม่มีกระดูก
โชคดีที่นักเก็ตไก่เหมือนนักเก็ตไก่
น้ำแปลกที่อร่อยดี แต่พี่เจได้ไม่เต็มแก้ว แต่อันนั้นดูดไปหน่อยนึงละ
กลับมาที่เรื่องรูป กินข้าวเสร็จ เราก็ไปซื้อน้ำแปลกๆมาดริ้งกัน แต่ก็อร่อยดี ถึงแปลกที่ว่าก็โนแอลนะ
ตลกของพี่เจตรงที่ สั่งสตรอเบอรี่สมูทตี้ แพงกว่าของเรา แต่ได้ไม่เต็มแก้ว ตลก 55555
ดริ้งเสร็จก็เดินไปที่ร้านรับรูป เป็นจังหวะที่เพื่อนมาเลเซียก็มาพอดี เราก็เข้าไปกัน
ส่วนนี้ ตลกร้ายมากตรงที่ต้องพกอุปกรณ์ในการ transfer รูปมาเองจ้าาาาาาาาาา
แล้วน้อง มีเพียงโทรศัพท์ซัมซุง และไม่ได้นำสายเคเบิลของโทรศัพท์มาด้วย
และไม่รู้จะทำยังไง เพื่อนก็เสนอตัวว่า เราเอาแฟรชไดร์ฟมาหลายอันมาก เดี๋ยวจะยกให้อันนึง
แต่อันที่เพื่อนจะยกให้ มันดันต่อกับคอมของเค้าไม่ได้ เราก็เลยอ่ะ เดี๋ยวลองกลับไปเอาสายมาต่อ
ก่อนจะเดินกลับห้องไป เราก็คิดว่าเดี๋ยวคงไม่ได้เจอเพื่อนแล้ว เพื่อนที่เราพึ่งพามาทั้งทริป
เลยขอเพื่อนถ่ายรูป พร้อมกับถามชื่อ ที่ไม่รู้มาตลอดเวลาที่คุยกัน
สรุป เพื่อนนางชื่อออกเสียงเหมือนกันด้วยจ้า ความ couple อ่ะ 5555555
แต่ไปๆมาๆไกด์ก็บอกว่า เดี๋ยวทัก WhatsApp มาก็ได้ ซึ่งเรายังไม่ได้โหลดอ่ะ ก็เลยเพิ่งโหลดมา
แล้วเดินกลับห้องไป แล้วพบว่า แม่งต้องใช้เบอร์ที่ประเทศไทยของข้าพเจ้าอ่ะ ในการ register
ข้าพเจ้าก็นอนโง่อยู่พักหนึ่ง แล้วเพื่อนก็ทักมาถามเลขห้อง และมาปรากฏตัวพร้อมแฟลชไดร์ฟ
ที่หน้าประตูห้องของข้าพเจ้า คือแบบน้ำตาแทบไหลออกมาอ่ะ ทำไมถึงเป็นคนดีขนาดนี้
หลังจากได้แฟลชไดร์ฟมาก็ไปขอ instagram เขาเพื่อว่าจะได้ลงรูปแล้วแทกไปขอบคุณ
และดิฉันก็พบว่า นางมาฮันนีมูนกันจ้าา ฮือออ คนดีของน้อง ขอให้ได้น้องมัลดีฟส์กลับไป

โฉมหน้าเพื่อนๆของเรา
แฟลชไดร์ฟจากสวรรค์ :)
This part I wrote about you AIN&AYEEN if you can reach this line.
I really really happy to meet both of you there at the Maldives and you help a lot about the trip.
You even gave me the drive with our photos from the diving trip
and a lot of necessary information that I can't expect if I didn't meet you, how was my trip be.
and a lot of necessary information that I can't expect if I didn't meet you, how was my trip be.
Thank you very very much.
And I realized after I bothered you that it was your honeymoon trip,
I wish you were so happy that time. Thank you again, my friends.
And I realized after I bothered you that it was your honeymoon trip,
I wish you were so happy that time. Thank you again, my friends.

โฉมหน้าเพื่อนๆของเรา
จบคืนนี้ เราก็รู้สึกว่ายังไม่อยากนอนเหมือนเคย แบบอยากดื่มด่ำการอยู่ที่นี่
แต่สุดท้ายก็แพ้ความเหนื่อยล้า หลับไปหลังจากพูดว่าไม่อยากนอนเพียง 5 วิ
ตอนเช้าเราต้องรีบตื่นไปรับทานอาหารเช้า เพราะว่าหลังจากได้รับประสบการณ์ 2 ชั่วโมงเฟอร์รี่
เราก็ตัดสินใจว่า ขากลับขอนั่งสปีดโบ้ทคนละ 20USD แล้วกัน แลกกับความสบายอ่ะ
เมื่อวานก็เลยไปจัดแจงสอบถามกับพนักงานของโรงแรมเรียบร้อย มีเวลาให้เลือกอยู่
เราเลือก 8 โมงเช้าเพราะต้องบินตอนเที่ยง เดี๋ยวไปไม่ทัน ก็จ่ายเงินอะไรไปตั้งแต่เมื่อคืน
เราลงมารับทานอาหารเช้าแล้วก็เตรียมตัวกลับกัน ซึ่งการนั่งสปีทโบ้ทจะไม่ได้ไปลงที่มาเล่แล้ว
คือแวะแหละ แวะไปส่งคนอื่น แล้วก็ไปส่งปลายทางที่เกาะสนามบิน สะดวกสบายมาก
ใช้เวลาในการเดินทางไม่เกิน 1 ชั่วโมงเท่านั้น สภาพเหนื่อยล้าเช่นเมื่อขามาเลยไม่มี
พนักงานชายของทุกที่จะมีสเตอรีโอไทป์ที่คล้ายกันเยอะมากกก คือผมหยิกอ่ะ
ถ้ายาวหน่อยนี่คิดว่าคนเดียวกันหมดเลย 555555555555
บ้ายบายมาฟูชิ
โบ้ทก็สปีทมาก มาถึงมาเล่ภายในเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง
ถ่ายกับท่าเรือซักหน่อยอ่ะ น้ำฟ้านั่นไม่ได้โฟโต้ชอปนะ
จากนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว รอขึ้นเครื่องกลับบ้าน ไปเดินเล่นดูของฝากเล็กน้อย
อ่ะ จากที่เขียนมาทั้งหมด บอกตรงๆว่าเราไม่มีรูปน้ำใส ทะเลสวย ใส่บิกินี่ เซ็กซี่ขยี้ใจให้
55555555555555555555 แต่สิ่งที่เราได้มาจากการเที่ยวมัลดีฟส์ครั้งนี้คือ
"ถ้ามีเงินเยอะ ให้ไปเกาะส่วนตัว แต่ถ้าเงินจะหมดชัวร์ ไปเกาะพับบลิคก็ดีจ้าาาา"
การมาเกาะชุมชนครั้งนี้ก็ดีนะ ทำให้เราได้เจอเพื่อนที่ดีโคตรจากมาเลเซีย
คือแบบ คิดดูดิ โอกาสมันน้อยแค่ไหน ที่จะไปเจอเพื่อนร่วมทางที่ดีขนาดนี้
ถึงแม้ว่า เราจะไม่ได้ไปใส่บิกินี่ที่เกาะส่วนตัว ซึ่งจริงๆยังไม่กล้าใส่ 555555
อ่ะ ทริปนี้เอาแค่นี้ก่อน ทริปหน้าถ้ามีโอกาสมามัลดีฟส์อีก
ก็อาจจะใส่บิกินี่ ถ่ายรูปกับเกาะส่วนตัว กำเงินมาเยอะกว่านี้ กินเรี่ยกินราด
จบ
Comments
Post a Comment