สิงคโปร์นั้นโก้จริงๆ2017 Part 1
แงแง ตื่นเต้นนนน ในนี้ดูมีแต่อะไรครั้งแรกไปหมด 55555
![]() |
พาสปอร์ตเล่มแรก ตั๋วเครื่องบินใบแรก อ๊ออยย 555555 แรกอะไรนัก |
แกๆ แกพิมพ์ไปแล้วข้างบน แง โทษที ตื่นเต้นไปหน่อย ตอนนี้ยังตื่นเต้นไม่หายเลย
ในชีวิต ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เดินทางไปต่างประเทศจริงๆ
รู้สึกเสียดายตัง หมายถึงแต่ก่อนที่ยังหาเงินได้น้อยนิดนะ ตอนนี้ก็พอมีปัญญาละ
แต่ถ้าให้เป็นตัวตั้งตัวตีก็คงไม่เอาด้วย 55555555
เอาล่ะ ในเมื่อมีโอกาสแล้วก็ไปเลยโว้ยยย ไปปปปปปปปปป
![]() |
ถามว่า ชี้อะไร... ไม่รู้ 555555555555 ตื่นเต้นไง ชี้โบ๊ชี้เบ๊ |
เป็นตั๋วโปรที่ต้องจองนานกว่า 5 เดือนเว่ย แบบโอ้โห ลืมเลยว่าต้องไป
ช่วงที่จองทุกคนก็คุยกันเรื่องเพจที่มักจะปล่อยตั๋วโปรออกมา
นี่ก็บ่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น คิดว่าโปรมันจะออกมาจากเว็บของสายการบินเอง
เราไม่ต้องไปดิ้นรนอะไรเท่าไหร่ แต่ที่ไหนได้ ถ้ามีตั๋วโปรมาเมื่อไหร่
เว็บจองก็ล่มเป็นแถบๆ โปรโมชั่นนี่มันช่างหอมหวานปนขมจริงๆ
ประเทศแรกที่เราเลือกคือ สิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ สงบๆ เรียบๆ ง่ายๆ ชิวๆ
สิ่งนึงที่ประทับใจมากคือการที่มีระบบรถไฟฟ้าเดินทางได้รอบประเทศ โอ้วว้าว
แต่ในทริป เรื่องที่ทำให้บูดก็เป็นอีเรื่องขนส่งนี่แหละ ค่อยมาลงรายละเอียดละกัน
เราออกเดินทางคืนวันที่ 18 พฤษภาคม 2560 เวลาประมาณ 3 ทุ่ม
ซึ่งเราจะเดินทางไปถึงประเทศสิงคโปร์เวลาราวๆ เที่ยงคืนของที่นั่น
แต่ใช้เวลาในการเดินทางเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น
(ถ้านับว่าใช้เวลา 2 ชม จริงๆก็น่าจะถึง 5 ทุ่มใช่ม้ะ
แต่ สคป เวลาเร็วกว่าเรา 1 ชม เลยบวกเข้าไป)
บอกเลยว่าประสบการณ์ครั้งแรกทุกอย่างแม่งสดมาก
นั่งเครื่องบิน ผ่านการ take off ครั้งแรก เป็นคนกลัวความสูง เลยพาลกลัวเครื่องบินไปด้วย
แต่ทุกคนก็เชียร์ว่า มันดีมาก มันสวยมาก มันฟินมาก มึงต้องนั่งข้างหน้าต่าง
มองออกไปข้างนอก มึงอยู่บนเครื่องบินไม่ต้องกลัว สรุปปป กูเมาจ้าาาา
ที่นั่งที่เราได้คือแถว A ริมหน้าต่าง แล้วพี่เจนั่งแถว B ถัดไปจากเรา
เราก็เอาวะ ไหนๆก็ไหนๆละ ลองดู อาจจะไม่แย่อย่างที่คิด
ช่วงแรกของการนั่ง ก็ใจสั่นหวั่นไหว รอไปจนเครื่องค่อยๆออกจากตรงที่จอด
ขับวนมา กว่าจะถึงรันเวย์แอบหายตื่นเต้นไปนิดนึง 55555 แบบนานเกิ้นน
![]() |
เห็นเครื่องบินของจริงใกล้ๆครั้งแรก ถ่ายรูปแบบโนสนความสวย |
น่ากลัวอ้าาาา แงงง เหงื่อออกมือพลั่กๆๆๆๆ
เครื่องค่อยๆเร่งความเร็ว มันเร็วมากจนแบบ เออแม่งต้องเร็วแบบนี้แหละ
ถึงจะบินขึ้นไปบนฟ้าได้ แต่น้องเกร็งทุกส่วน ใจเต้นโครมคราม จิกเสื้อพี่เจ
แล้วจังหวะที่มันเทคขึ้น มันจะวูบๆในหูแบบ วื้บบ แล้วก็หลุดขึ้นมาอีกห้วงนึง
พอขึ้นมาบนอากาศแล้ว นี่ก็พยายามมองตามที่เพื่อนบอก นอกหน้าต่าง
ไม่เห็นอะไรเลยจ้าาา บิน 3 ทุ่มเนาะ หวังจะดูอะไรก่อน 55555555555
จากนั้นอาการเมาก็เริ่มมา วิงเวียน ต้องการอาเจียน เลยย้ายที่กับพี่เจ
แล้วก็มานอนตายตาหลับอยู่ตรงแถว B ปกติเป็นคนเมาเรืออยู่แล้วด้วย อ๋ออยยย
แต่ก่อนตอนดูหนังจะชอบคิดว่าเครื่องบินต้องเสียงเบามากแน่ๆ
ที่ไหนได้ เสียงดังมากจ้าาาา สมแล้วกับเครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่าคน 10 คนมัดรวม
ลืมไปว่าในกระบวนการถ่ายทำจะต้องตัดเสียงรบกวนเพื่อให้ได้ยินไดอะล็อคไง๊
คือลองนึกถึงเสียงรถยนต์ รถมอไซค์ ก็ถึงบางอ้อ อ๋อ เออว่ะ อันนั้นยังเสียงดังเลย
ถึงกันดีกว่า ง่วงมาก ขนาดหลับมาแล้วบนเครื่อง แต่เหมือนอยู่ในอาการผวาตลอด
ตอนลงดันตื่นมารู้สึกตัวอีก ไก่ตื่นหมดเลย บ้าจริง เมื่อยตัวสุด
สภาพหลังแลนดิ้ง
สิ่งที่คิด |
สิ่งที่เป็น |
นี่อธิบายถึงความรู้สึกในการขึ้นเครื่องบินครั้งแรกเยอะมากเลยอ่ะ 5555555
เอาล่ะ จากที่แพลนกันไว้ คืนนี้เราจะนอนกันที่สนามบินเรามากันทั้งหมดในไฟล์ทเดียวกันคือ 6 คน ส่วนคนละไฟล์ทอีก 4 คนมาก่อน ตามมาอีกวันอีก 1 คน
สิริรวมทั้งทริป 11 คนจ้า ปรบมืออออ คนเยอะมาก ไปกันเป็นฝูงๆ
ภาพจากพี่เจ ผู้ถ่ายรูปตรง ตม. ทุกด่าน ตอนนี้อยู่ในคุกไปละ หลอก
|
ชอบรถเข็นกระเป๋าในสนามบินมาก เลยเล่นบทเด็กยกกระเป๋าแม่ง
|
อยากให้ปานกมลคนกินทุกอย่างมาพิสูจน์ว่า คนอย่างมึงเนี่ย กินได้มั้ย
จริงๆแอบแพนิคมากว่า จะอร่อยมั้ยวะ ถ้าไม่อร่อยก็ไม่อยากกินไง ถึงจะกินได้ทุกอย่างก็เถอะ
แต่เอาเข้าจริง พอกินแล้วมันก็ใช้ได้ บางอย่างอร่อยด้วยซ้ำเถอะ
คือบางคนถึงขั้นไซโคว่า พกมาม่ามาต้มกินยังดีซะกว่า เราเป็นคนนึงที่จะบอกว่า มันไม่ขนาดนั้นนะ
แต่ถ้าชอบกินมาม่าก็พกมาได้ 5555555555
ลงมาจากเครื่อง สิ่งที่ต้องทำอย่างแรกเลยก็คือการไปซื้อซิม ตอนแรกเกือบลืมเล่าแล้ว
ด้วยความที่เรามากัน 2 ไฟล์ท ก็จะมีกลุ่มนึงมาถึงก่อน ต้องตามหากันแบบโรมิโอ จูเลียต
ตอนที่ยังไม่ได้ซิม สนามบินก็มีไวฟายให้บริการนะ สามารถลงทะเบียนแล้วใช้ก่อนได้
ในสนามบินก็จะมีบริการให้ซื้อซิมอยู่หลายเจ้า เราสามารถเลือกได้ตามความพึงพอใจเลย
อาจจะเลือกจากระยะเวลาที่เราอาศัยอยู่ในประเทศเขาก็ได้ ซื้อในสนามบินน่าจะโอเคสุด
แต่ระหว่างนั้นเราก็ใช้ไวฟายติดต่อกับเพื่อนอีกกลุ่มไปพลางๆ เพื่อนัดเจอกัน
เราไปเลือกซิมตามโบชัวร์นี้ ซึ่งเราทำการซื้อซิมเป็นคู่
เราไม่ได้ซื้อกันทุกคน อย่างคู่เราก็ให้พี่เจซื้อ เวลาจะเล่นก็แชร์ไวฟายเอา
เลือกแบบ 15 ดอล เพราะอยู่ที่นี่แค่ 3 วันก็กลับแล้ว
เอาไว้ติดต่อกรณีหลงกันเฉยๆ เราไม่มีคำแนะนำอะไรเกี่ยวกับซิมมากนัก
แต่คิดว่าซื้อในสนามบินก็โอเคแล้วนะ ไม่ต้องไปหาซื้อข้างนอกหรอก
หลังจากนั้นก็ไปหาข้าวกินกัน
นี่คืออาหารมื้อแรกที่นี่ อันนี้คือของพี่เจนะ เราก็แอบตอดกินเนี่ยแหละ
รสชาติเฉยๆ เหมือนมันจะเป็นเมนูที่คล้ายของไทย
อารมณ์ไก่ทอด ราดน้ำยำ รสชาติเคล้าน้ำจิ้มไก่ บวกไข่เจียว
ส่วนเราสั่งน้ำผึ้งมะนาว ที่รสชาติมะนาวไม่รู้ซ่อนอยู่ไหน ได้ยินแต่ชื่อ
อันนี้เป็นอาหารของเพื่อนๆร่วมทริป ไทยมากกก 5555555
ไม่มีการถ่ายก่อนกินใดๆทั้งสิ้นเนาะ อิ
19 พฤษภาคม 2560
การนอนที่สนามบินคืนแรก คนที่หลับจริงๆคือ เราเอง... คนอื่นบอกนอนไม่ได้ นอนไม่หลับ
พอตื่นมาตอนเช้า (ตื่นมาคนเดียวนะ คนอื่นตื่นอยู่แล้ว แงเขิน) ก็ล้างหน้าล้างตาเตรียมตัวเดินทาง
ไปเข้าที่พักกัน แต่จริงๆมันยังเข้าไม่ได้ แต่เค้าอนุญาตให้ไปอาบน้ำก่อนได้
ถ่ายรูปรวมที่สนามบินชางงีหลังตื่นนอน(คนเดียว)เป็นที่ระลึกซักหน่อย
สมาชิกจากซ้ายไปขวา (บอกชื่อเหมือนตอนถ่ายรูปรวมที่โรงเรียนงี้)
แถวยืน : พี่นัท เมย์ พี่กอล์ฟ พี่แฟ้ม ป่าน พี่แนท พี่วิ เจ้าเติ้ล
แถวนั่ง : พี่โหน่ง พี่เจ
ในรูปเนี่ยจะเห็นว่ามี 10 คน แต่จริงๆตอนแรกบอก 11 ใช่ม้ะ
คือมันมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ขออนุญาตตี่ในการเล่าเป็นอุทาหรณ์ 5555555
เล่าสั้นๆเลยแล้วกันจะได้ไม่เจ็บปวดมาก ถ้ามาอ่านเจอก็ไม่ต้องเจ็บปวดแล้วนะ
พาสปอร์ตหมดอายุ แถมดูวันผิด จบ แค่นั้นแหละ รู้ตัวตอนมาถึงสนามบินแล้ว
เลยต้องกลับไปทำแล้วตามมาอีกวัน ใครมาอ่านก็รอบคอบกันด้วยน้าา
การเดินทางไปที่พักก็ง่ายมาก อย่างที่เกริ่นไว้ตอนแรกว่า ระบบรถไฟฟ้าที่นี่คือเดินทางได้ทั้งประเทศ
ก็ขึ้นรถไฟฟ้าไปกันเลยจ้าา
ภาพถ่ายแรกบนรถไฟฟ้า เบลอๆ งงๆ
พี่โหน่งทำท่าไรอ่ะ
เราต้องออกจากสนามบินชางงีด้วยรถไฟที่เชื่อมกับสถานีรถไฟฟ้าก่อน ซึ่งให้บริการฟรี
แล้วจึงจะสามารถเลือกนั่งรถไฟฟ้าไปยังสถานที่ที่เราต้องการได้ ตรงนี้แหละต้องเสียเงิน
มาลองเล่าถึงประสบการณ์การใช้บัตรรถไฟฟ้าของสิงคโปร์กันซักหน่อย
ถ้าพูดถึงเรื่องความสะดวกสบายคือชนะเลิศ เพราะใช้ใบเดียวกับสายไหนก็ได้ ใต้ดิน บนฟ้า
รวมถึงถ้าข้ามไปเกาะเซนโตซ่าด้วย อันนี้เดี๋ยวค่อยพูดถึงใน Part 2
บัตรโดยสารของรถไฟฟ้าจะมี 2 แบบ คือแบบชั่วคราวเหรอ เขาเรียกยังไง
มันเป็นบัตรแบบกระดาษ ออกที่ตู้เลย แต่เติมเงินเข้าไปได้ มีโปรโมชั่นด้วย
หน้าตาเป็นแบบนี้ คือเราก็กดเลือกว่าจะไปไหน
แล้วหยอดตังเข้าไป มันก็จะคลอดบัตรออกมาให้เรา
ส่วนแบบที่ 2 คือบัตร EZ-link ถ้าใครมาอยู่นานๆ ใช้อันนี้ก็น่าจะคุ้มดี
มันน่าจะราคาต่อรอบถูกกว่าแบบข้างบนด้วย แต่ก็มีค่าเปิดบัตร
แล้วก็เติมเงินเข้าไป ส่วนเราขี้โกงมาก ยืมเพื่อนมาอีกที 5555 ไม่เสียค่าเปิดบัตร
ก็เลยทำให้พบเจอความบูดในตอนท้ายเล็กน้อย นี่ย้ำมากเลยนะเนี่ย
บัตรที่เรายืมเพื่อนมา หน้าตาเป็นงี้ แอบไปจิ๊กรูปจาก google มา เพราะลืมถ่าย
ลักษณะการใช้งานก็เหมือนบัตร BTS MRT บ้านเรา คือเติมเงินเข้าไป
แล้วก็แตะๆ เวลาจะเข้าไปข้างในนั่นเอง ชิวมาก
คล้ายๆกับบ้านเราแหละ มีตู้ที่กดจอได้ แต่บ้านเราแตะเติมเองไม่ได้เฉยๆ
ระบบบัตรที่ทางเข้าสถานีจะมีแค่แบบแตะเท่านั้น ไม่ได้มีแบบเสียบบัตรเข้าไปได้เหมือนบ้านเรา
ก็เลยจะต้องไปเติมเงิน เพื่อเอาบัตรมาแตะ จริงๆมันก็เหมือนกันแหละ มั้ง 5555
คือตอนนี้พยายามจะบอกทุกคนว่า สถานีที่เราไปเรามา ต่างๆนานา ที่เราผ่าน
มันคือสถานีอะไรบ้าง แต่ขอออกตัวก่อนว่า เป็นคนกากเรื่องการจำรายละเอียดพวกนี้มาก
อะไรที่มัน relate to transportation, geography, social science บอกเลยว่าโง่มาก
เราจึงกลับไปดูแพลนที่เพื่อนเติ้ลและพี่โหน่งผู้น่ารักทำไว้ให้
จริงๆก็มีแพลนจากพี่วิด้วย ขอบคุณสวรรค์ที่ส่งคนเหล่านี้มานำทางข้า
จึงได้เรื่องมาว่า เราไปสถานีรถไฟฟ้าอันใดมาบ้าง วู้เย!
อ่ะ มาต่อ เราออกจากสนามบินไปยังสถานี CG2 ก็คือ สถานีท่าอากาศยานชางงี
อื้อหือ ดูโปรเลยมั้ยล่ะมึง 55555555 แล้วก็ต้องไปต่อที่พักที่อยู่ที่สถานี Farrer Park (NE8)
ขึ้นมาจากรถไฟฟ้าแล้ว อิอิ เดินตามหาที่พัก
รูปนี้จิ๊กมาจากกล้องเมย์
ย่านที่เราอาศัยอยู่มีชื่อว่า Little India (ลิตเติ้ล อินเดีย) ซึ่งก็ค่อนข้างป๊อปปูล่านิดหน่อยแหละมั้ง
โดยที่พักของเราชื่อ Met A Space Pod สไตล์มันจะแบบกิ๊บเก๋มากแกรย์
คือเป็นแคปซูล มีขนาดนอน 1 คน และ 2 คนว่าไป ธีมอวกาศ สตาร์วอล์ไรงี้
ราคาก็โอเคนะ อยู่ในเรทที่ไม่เสียดายเงินมาก ลองเข้าไปดูได้ในเว็บนาง
บรรยากาศรอบๆแถวบริเวณที่พัก
(ขโมยรูปมาจากพี่กอล์ฟโกโปรอีกที ส่วนตัวเราถ่ายแต่รูปคน 55555)
![]() |
กำลังเดินไปเข้าที่พัก ขอที่อาบน้ำกัน |
ทำไมถึงไปขออาบน้ำก่อนได้ ถ้าได้เข้าไปดูรูปที่พักแล้ว จะเห็นว่ามันไม่มีทางมีห้องน้ำในตัว
ห้องน้ำจะเป็นแบบรวม แต่แยกชาย - หญิงนะไม่ต้องห่วง เราจึงสามารถไปอาบก่อนเข้าที่พักได้
ผู้ชายจะอยู่ข้างบน ส่วนของผู้หญิงจะอยู่ข้างล่าง ข้างในจะมีห้องอาบน้ำประมาณ 3 ห้อง
ฝักบัวก็อาจจะแรงจนน้ำห้องข้างๆกระเด็นเข้ามาได้ ไม่ต้องตกใจไม่มีอะไร
แต่อันนี้คือ ขอเล่าความระทึกนิดนึง ตอนกลางคืนเวลาอาบน้ำเนี่ย
คือหลังคาตรงห้องอาบน้ำมันจะเป็นกระจกใส ตอนกลางวันก็จะเห็นแสงจากข้างนอก
แต่พอกลางคืน แสงมันก็จะสะท้อนอยู่ข้างในใช่ม้ะ
ตอนที่เราไปอาบน้ำอ่ะ มันก็มีคนใช้กระจกอยู่ข้างนอก หน้าประตูห้องอาบน้ำ
มองขึ้นไปข้างบน เห้ย เห็นคนข้างนอกอ่ะ คนข้างนอกก็ต้องเห็นเราดิ
แต่ตอนออกมาลืมลองมอง เลยไม่รู้ว่าเห็นจริงเปล่า
แต่ไม่เป็นไร เป็นผู้หญิงด้วยกัน แบ่งๆกันดูเนาะ 55555555
เนี่ย ลองนึกภาพตามแผนผัง เราอยู่ใน shower area ส่วนอีกคนอยู่หน้า mirror
แต่เขาใช้กระจกอยู่ เราก็เผลอมองขึ้นไป แล้วก็เห็น แต่ไม่แน่ใจเขาเห็นเราม้ายย
ชั้นบนจะมีห้องนั่งเล่น ให้ผู้เข้าพักไปแฮงค์เอ้าท์ อย่าเรียกแฮงค์เอ้าท์เลย
เรียกนั่งสงบสติอารมณ์ดีกว่า เพราะถ้าเสียงดังน่าจะได้ยินทั้งตึก
อาบน้ำเสร็จเราก็ฝากของไว้ใต้แคปซูลแล้วก็ออกไปเดินเล่นหาข้าวเช้ากินกัน
ถ่ายรูปเล่นซักหน่อยระหว่างทาง
ชาอันนี้กดมาจากตู้น้ำหน้าบ้านใครซักคน ก็อร่อยดีนะ เป็นพรีเซนเตอร์ซะเลย
ซึ่งเราคุยกันไว้ว่า เราจะไปกินข้าวมันไก่ที่ Maxwell ตรง China town
ก็ขึ้นรถไฟฟ้าไป ตรงที่เราพัก จะอยู่ใกล้กับสถานี Farrer Park (NE8) ก็เริ่มจากตรงนั้นแหละ
ไปลงที่สถานี China town (NE4) แล้วก็เดินไปหาข้าวมันไก่แม็กซ์เวลมากิน
ซึ่งตรงนี้มีความสับสนทางเข้าเล็กน้อยเพราะก่อสร้างบังอยู่ข้างหน้า
![]() |
มาถึง China town แล้ว |
นี่คือตรงที่กำลังก่อสร้าง แต่ไม่ใช่ข้างหน้า Maxwell 555555555555 กรรมม |
คุณคาดหวังอะไรจากดิฉันคะ นี่บล็อคดิฉัน ก็ต้องมีแต่รูปดิฉัน |
มาถึงข้าวมันไก่แล้วว่อย แบบหิวโซเลยด้วย คือมันแบบสายมากแล้ว แล้วหิวสุดๆ
มาถึงพุ่งตัวไปที่ร้านทันที ว่าแต่ร้านไหน 555555555555
อันนี้เปิดโลกเรื่องการเรียกหนังไก่เป็นภาษาอังกฤษมาก
คือไม่เคยสั่งข้าวมันไก่ไม่เอาหนังเป็นภาษาอังกฤษเลยในชีวิต
แต่ด้วย common sense อ่ะ ก็คิดตื้นๆว่า คงใช้ skin แหละ
แล้วมันก็จริงอ่ะ คือแบบเออมันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร แค่ไม่เคยใช้ บอก no skin ไปเลยจบๆ
ตอนเวลานี้คนก็ค่อนข้างเยอะแล้ว แต่เป็นวันที่มีนักเรียนเยอะมากกกกกก
สงสัยเลยว่าเค้ามาทัศนศึกษา หรือว่าเดินเรียนกันแบบนี้อยู่แล้ว
ทริปนี้แม่งมีความดีงามตรงที่กล้องที่แต่ละคนพกมันไม่เหมือนกันอ่ะ
และลูกทริปบางคนเกิดอาการเพลียเลยจะขอตัวไปนอนก่อน
พอเดินเล่นเสร็จก็กลับไปนอนพักที่โรงแรม ให้ทุกคนไปนอนก่อน
นอนรอเวลาที่ตี่จะมาถึง แล้วไปรับตรงสถานีรถไฟฟ้าที่เชื่อมกับสนามบิน
กลับไปห้องพักกันดีกว่า ไปปปปปปป๊!!
ก่อนจะไปรับตี่ เราก็วางแผนว่าจะไปดูสิงโตพ่นน้ำกันก่อนฆ่าเวลา
ตอนนี้พวกเราจะซ่านั่งรถเมล์ไป แต่เดินมาด้อมๆมองๆทางป้ายรถเมล์ แล้วมีลุงคนนึงเดินมา
ทักพวกเราว่าจะไปไหนกัน เราก็บอกว่าจะนั่งรถเมล์ไปดูเมอร์ไลอ้อน
ลุงรีบห้ามแล้วบอกให้เราไปรถไฟฟ้าอ่ะดีแล้ว เพราะนั่งรถเมล์มันอ้อม ใช้เวลาเยอะเกิน
แล้วลุงก็ถามว่ามาจากไหนกัน พอเราบอกไทยแลนด์เท่านั้นแหละ
เหมือนคนรู้จักกันมา 10 ปี ลุงเริ่มคุยแบบสนิทสนม
แถมยังเอาดอกไม้ทำนายดวงออกมาให้พวกเราหยิบ พร้อมทั้งทำนายโชคชะตากันไป
หลังจากที่ถ่ายรูปกันจนหนำใจ ดึกดื่นแล้วนั้น ก็จวนเวลาที่ตี่จะมาถึง
ก็เลยเดินทางไปรอตี่ที่สถานีกัน ไปกันหมดเนี่ยแหละ
ไปนั่งๆนอนๆรอไปเรื่อยๆ เปื่อยๆ เอื่อยๆ แอบกินแตงโมที่ซื้อมาไปที 2 ที
นั่นก็คืออออออออ ติ๊ดบัตรออกไม่ได้ เราก็ไม่เข้าใจ แม่งไม่ได้ทั้ง 10 คนเลย
เลยไปถามพนักงาน กลายเป็นว่า เราอาศัยอยู่ในสถานีเกินเวลาที่กำหนด
555555555555555555555 โคตรกาก เลยต้องเสียค่าปรับไปคนละ 2$ เบาๆ
เราตั้งใจจะไปกินบักกุ๊ดเต๋ร้านดังที่ชื่อว่า Song Fa Buk Kut Teh แต่มาถึงคนก็เต็มมาก
และร้านก็จะปิดแล้ว เลยอด ต้องไปหาอย่างอื่นกินแทน
เลยมาจบที่ร้านคล้ายๆตามสั่งบ้านเรา เราสั่งไอที่มันเหมือนโรตีมะตะบะนี่มากิน
รสชาติก็โอเคนะ แต่การบริการของพนักงานย่ำแย่มากถึงมากที่สุด
นอกจากไม่คุยให้รู้เรื่องแล้วยังกระฟัดกระเฟียดอี้กกกกกกกกกกกกก
มาถึงพุ่งตัวไปที่ร้านทันที ว่าแต่ร้านไหน 555555555555
อันนี้เปิดโลกเรื่องการเรียกหนังไก่เป็นภาษาอังกฤษมาก
คือไม่เคยสั่งข้าวมันไก่ไม่เอาหนังเป็นภาษาอังกฤษเลยในชีวิต
แต่ด้วย common sense อ่ะ ก็คิดตื้นๆว่า คงใช้ skin แหละ
แล้วมันก็จริงอ่ะ คือแบบเออมันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร แค่ไม่เคยใช้ บอก no skin ไปเลยจบๆ
ตอนเวลานี้คนก็ค่อนข้างเยอะแล้ว แต่เป็นวันที่มีนักเรียนเยอะมากกกกกก
สงสัยเลยว่าเค้ามาทัศนศึกษา หรือว่าเดินเรียนกันแบบนี้อยู่แล้ว
น้องบอก อย่าถ่ายครับๆ
แวะให้ดูน้องนักเรียนข้างนอก ไปกินข้าวมันไก่กันดีกว่า
![]() |
กินๆ อย่าโม้มากแก |
และเราก็ได้ข้าวมันไก่มากิน อันนี้ได้ถ่ายก่อนกินด้วยนะ
ปริมาณเยอะมาก มากแบบกินไม่หมด น้ำจิ้มเราไม่ค่อยชอบ แต่พี่เจบอกว่าโอเคนะ
เนื้อไก่แห้งไปหน่อยเราชอบเนื้อเปียกๆ และที่สำคัญ หิวจนท้องอืดเลยกินไปได้ครึ่งเดียว
![]() |
ข้าวมันไก่ 1 จาน ราคา 5$ |
กินเสร็จก็ไปเดินเล่น ถ่ายรูปไปเรื่อย พี่วิแนะนำให้ไปกินไอติมวาฟเฟิล ก็เดินไปกัน
![]() |
ทีมแม่บ้าน (ตี่ไปทำพาสปอร์ตอยู่) |
แถมฟังก์ชั่นยังต่างกันด้วย ได้รูปหลายรสชาติมาก ที่สำคัญแม่งสวย
เปล่าชมตัวเอง อย่าเพิ่งรีบด่า ชมรูปก่อน 55555
คือมี DSLR เลนส์ฟิก mirrorless เลนส์มือหมุน กล้องคอมแพค กล้องโกโปรเทคอะโฟโต้
แล้วรูปที่ได้ก็ต่างๆกันไป หน้าชัดหลังเบลอ เบลอขอบ ชัดตื้น ชัดลึก
vignette portrait candid fish-eye อ๊ออยยยสารพัด
แถมทุกคนยังยอมแต่งตัวเข้าธีมด้วย น่ารัก มีความสุข แง ไปอีก ไปไหนอีกดี
คือลงในเฟสด้วยข้อความแบบนี้เลยนะ ชอบรูปทริปนี้มาก มากๆ ด้วยมู้ดของมัน
เปล่าชมตัวเอง อย่าเพิ่งรีบด่า ชมรูปก่อน 55555
คือมี DSLR เลนส์ฟิก mirrorless เลนส์มือหมุน กล้องคอมแพค กล้องโกโปรเทคอะโฟโต้
แล้วรูปที่ได้ก็ต่างๆกันไป หน้าชัดหลังเบลอ เบลอขอบ ชัดตื้น ชัดลึก
vignette portrait candid fish-eye อ๊ออยยยสารพัด
แถมทุกคนยังยอมแต่งตัวเข้าธีมด้วย น่ารัก มีความสุข แง ไปอีก ไปไหนอีกดี
คือลงในเฟสด้วยข้อความแบบนี้เลยนะ ชอบรูปทริปนี้มาก มากๆ ด้วยมู้ดของมัน
นั่น สิ่งที่กำลังป้อนเข้าไปที่ปากพี่เจ คือไอติมวาฟเฟิล
หน้าตาแบบนี้ เราก็เลือกรสชาติไอติมกันไป
หลังจากกินไอติมวาฟเฟิลเสร็จก็มีการตกลงกันว่า เราจะไปรับตี่ตอนกี่โมง
และต้องไปซื้อบัตรเข้า Universal Studio และอื่นๆอีกสำหรับพรุ่งนี้ด้วย
ก็เลยไปซื้อตั๋วกันก่อนที่ Sea Wheel Travel ที่ตึก People Park's Centre ชั้น 3 เดินไป
ที่เค้าบอกกันนักบอกกันหนาว่าเป็น the best deal at all เราก็มาซื้อกัน
(ขโมยรูปมาจากใน google)
มันก็จะมีแพคเกจแตกต่างกันไปแล้วแต่เราเลือกว่าจะไปไหนบ้าง
เราเลือก Universal Studio และ S.E.A. Aquarium คือตั้งใจไว้ว่า
ถ้าได้ไปไหน จะต้องไปดู aquarium ของที่นั่นให้ได้
ก็จะได้บัตรมาหน้าตาจืดชืด แบบนี้
ซื้อ 2 ตั๋วรวมกันจะเป็นโปรโมชั่น ราคาประมาณ 82 ดอล หรือเกือบๆ 2,000 บาท
มีเราได้นอนคนเดียวไง 555555555555555 สุดท้ายเลยไปเดินเล่นฮาจิเลนกัน 7 คน
เป็นการเปลี่ยนแผนจากตอนแรกที่วางไว้แบบซ่าๆ ด้วยการไป USS ก่อนเลยวันแรก
สุดท้ายไปไม่รอด ต้องไปอะไรแบบชิวๆ เดินเล่นก่อน
ฮาจิเลนก็จะเป็นแลนด์มาร์คเก๋ๆที่นึงของสิงคโปร์เลยก็ว่าได้
นั่งรถไฟฟ้ามาลงที่ตรอกฮาจิ สถานี Bugis (DT14) มาจาก China Town
มาถึงแล้ว สีสันมันจะน่ารักๆ ฟีลเหมือนเดินตลาดชิคๆ บ้านเราเนี่ยแหละ
ก็ถ่ายรูป ถ่ายรูป ถ่ายรูป ดูของ ดูของ ดูของ แต่ไม่ซื้อนะ ฮ่าา
ทักทายแบบเป็นกันเอง...ทักทายใครก่อน
หนูๆ ง่วงก็ไปนอน เดินหลับทำไม
นี่คือไม่รู้จะทำท่าอะไรแล้ว
เออ คือจริงๆเล่าไปยังวะ ลืม ทริปนี้เรามีการนัดกันแต่งตัวมา
ให้เป็นธีมสีเดียวกัน เพื่อเวลาถ่ายรูปจะได้ชิคๆ
ก็ลอกมาจากคนอื่นอีกทีนั่นแหละ ซึ่งวันแรกนี้เรานัดกันใส่ ขาวยีนส์
ซึ่งทุกคนก็ทำได้ดีมาก ถูกต้องตรงตามคอนเซป
นอนรอเวลาที่ตี่จะมาถึง แล้วไปรับตรงสถานีรถไฟฟ้าที่เชื่อมกับสนามบิน

กลับไปห้องพักกันดีกว่า ไปปปปปปป๊!!

ได้เข้ามาข้างในก็จะประมาณนี้ เป็นแคปซูลธีมอวกาศๆหน่อย
สีก็จะม่วงๆฟ้าๆ แบบไฟอวตารกันไป
ส่วนภาพรวมก็ไปดูตามลิ้งค์ที่ให้ไว้แล้วข้างบนนู้นนนน เนาะ อิอิ
ก่อนจะไปรับตี่ เราก็วางแผนว่าจะไปดูสิงโตพ่นน้ำกันก่อนฆ่าเวลา
ตอนนี้พวกเราจะซ่านั่งรถเมล์ไป แต่เดินมาด้อมๆมองๆทางป้ายรถเมล์ แล้วมีลุงคนนึงเดินมา
ทักพวกเราว่าจะไปไหนกัน เราก็บอกว่าจะนั่งรถเมล์ไปดูเมอร์ไลอ้อน
ลุงรีบห้ามแล้วบอกให้เราไปรถไฟฟ้าอ่ะดีแล้ว เพราะนั่งรถเมล์มันอ้อม ใช้เวลาเยอะเกิน
แล้วลุงก็ถามว่ามาจากไหนกัน พอเราบอกไทยแลนด์เท่านั้นแหละ
เหมือนคนรู้จักกันมา 10 ปี ลุงเริ่มคุยแบบสนิทสนม
แถมยังเอาดอกไม้ทำนายดวงออกมาให้พวกเราหยิบ พร้อมทั้งทำนายโชคชะตากันไป
เหมือนโดนลุงอบรมอยู่ 5555555555
เอาเติ้ลมาโดนอบรมด้วย การแต่งภาพอาจจะแตกต่างกันหน่อยนะ จิ๊กมาจากหลายที่ 55555
หยิบดอกไม้หน้าตาแบบนี้มาจากลุง
ข้างหลังก็จะมีที่อยู่ของสำนักอันนี้ เป็นโยคะบรรเทาใจ
ส่วนนี่คือคำทำนายที่เปิดมาได้
จำไม่ได้จริงๆว่าอันไหนของพี่เจอันไหนของเรา 55555555
สุดท้ายเราก็ลาลุงแล้วไปนั่งรถไฟฟ้าไปดูเมอร์ไลอ้อนกัน
อันนี้เราต้องนั่งรถไฟมาลงที่สถานี Raffles Place (EW14) แต่เป็นคนละสายกับที่พักเรา
แต่ก็ไม่ต้องกังวลเพราะการต่อสายรถไฟของที่นี่ก็ง่ายดายยิ่งกว่ากินกล้วย
พอลงมาแล้วก็เดินต่ออีกหน่อย ข้ามถนนไป ข้ามไป ข้ามไป
ผ่านอะไรก็ถ่ายให้หมด วู้วว!
เจอเมอร์ไลอ้อนแล้ว พร้อมกับมวลมหาประชาทัวร์ กระจัดกระกายกันอยู่
ซึ่งสิ่งที่ชาเล้นจ์มากๆในการมาที่นี่คือ ถ่ายรูปยังไงให้ไม่มีใครอยู่กับเรา
คำตอบคือ เป็นไปบ่ด้ายยยยยยยยยย แงแงแง ไม่เป็นไร เรามาวันหยุดไง
คนก็ต้องเยอะมากเป็นธรรมดา ไปประมวลภาพบรรยากาศบริเวณนี้กัน
เกือบจะได้แล้ว ยิ้มรอจนเหงือกแห้ง เจ๊คนนั้นก็ถอยหลังเข้ามาในเฟรมด้วยเสี้ยววินาที
เลยเบะแรงใส่ไปทีตอนที่ไม่มีคนเฉย ว้อยยยยย!!
ถ่ายรูปรวม แต่ยังไม่ครบ
แฮปปี้มากเปล่าอ่ะ อิอิ
คนเยอะมาก
อันนี้จิ๊กมาจากใครอ่ะ ใครซักคนในทริปเนี่ยแหละ
ก็เลยเดินทางไปรอตี่ที่สถานีกัน ไปกันหมดเนี่ยแหละ
กำลังไปรับตี่แล้ว รูปเกี่ยวข้องอะไรกับเนื้อหา??
ไปนั่งๆนอนๆรอไปเรื่อยๆ เปื่อยๆ เอื่อยๆ แอบกินแตงโมที่ซื้อมาไปที 2 ที
ตี่มาแล้วว พี่กอล์ฟแอ๊บหลับทำไม
พวกเรารับตี่มาแล้วก็ขึ้นรถไฟกลับไปที่สถานี China town อีกครั้งเพื่อไปหาอะไรกิน
แล้วก็มีเหตุการณ์ระทึกขวัญเกิดขึ้นกับพวกเราทั้ง 10 คนนั่นก็คืออออออออ ติ๊ดบัตรออกไม่ได้ เราก็ไม่เข้าใจ แม่งไม่ได้ทั้ง 10 คนเลย
เลยไปถามพนักงาน กลายเป็นว่า เราอาศัยอยู่ในสถานีเกินเวลาที่กำหนด
555555555555555555555 โคตรกาก เลยต้องเสียค่าปรับไปคนละ 2$ เบาๆ
เราตั้งใจจะไปกินบักกุ๊ดเต๋ร้านดังที่ชื่อว่า Song Fa Buk Kut Teh แต่มาถึงคนก็เต็มมาก
และร้านก็จะปิดแล้ว เลยอด ต้องไปหาอย่างอื่นกินแทน
เลยมาจบที่ร้านคล้ายๆตามสั่งบ้านเรา เราสั่งไอที่มันเหมือนโรตีมะตะบะนี่มากิน
รสชาติก็โอเคนะ แต่การบริการของพนักงานย่ำแย่มากถึงมากที่สุด
นอกจากไม่คุยให้รู้เรื่องแล้วยังกระฟัดกระเฟียดอี้กกกกกกกกกกกกก
สิ่งที่คล้ายกับโรตีมะตะบะของสิงคโปร์ กินไปแปปนึงแล้วนึกขึ้นได้ว่า เอ้ย ถ่ายรูปไว้หน่อยว่ะ
ส่วนของคนอื่นไม่ได้ถ่ายเลย แต่ก็จะเป็นพวกสเต็ก ผัดหมี่ๆ อะไรงี้
นั่นไม่ได้มี 3 มือนะ พี่เจแย่งกินเลยมีช้อน 2 คัน
น้ำ เออพูดถึงน้ำดีกว่า คือน้ำที่นั่นแพงมาก พวกน้ำเปล่าไรงี้
แต่ตอนเรากินอันนี้ เราสั่งน้ำมะนาว ซึ่งน้ำมะนาวเค้าน่ากลัวอ่ะ
กินเสร็จก็เดินกลับไปขึ้นรถกลับที่พัก นอน จบวันแรกไปแบบกากๆ
-------------------------------------------------------------------------------------------------
จากที่บอกไปตอนแรกว่า ระบบรถไฟฟ้าของประเทศสิงคโปร์คือจะเชื่อมต่อกันทั้งหมด
มันก็จะมีแผนที่หน้าตาแบบนี้ ชิ้นเล็กๆให้หยิบในสถานี
เปิดออกมาก็จะเป็นแผนที่รางรถไฟว่าสถานีไหนไปไหน
สายสีอะไรเชื่อมกันตรงไหน มีสายไหนบ้าง อันไหนไปไหน
ถ้าถามเรา สำหรับคนที่ไม่มีความรู้หรือศึกษามาบ้างเนี่ย งงแน่นอน
เพราะเรางง เลยอาศัยคนอื่นเอา แต่ถ้ารู้มาบ้างแล้ว ชิว
หลักๆคือ จำให้ได้ว่าสถานที่ที่เราจะไป มันอยู่สถานีอะไร
แล้วก็ขึ้นให้ถูกฝั่งเท่านั้นเอง
กางออกมาข้างในก็จะเป็นงี้ สถานีใดบ้าง สายสีอะไรบ้าง เชื่อมกันที่ไหนบ้าง
แล้วก็มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการเดินทางเล็กน้อย
การสื่อสารที่นี่ก็ใช้ภาษาอังกฤษแบบชิวๆ ฟังง่าย เข้าใจง่าย
ซึ่งทริปนี้เราก็มีประโยชน์อยู่อย่างเดียวคือ ภาษาเนี่ยแหละ 5555
ส่วนข้อมูลเหรอ เบลอเอ๋อ ถามคนอื่นมาแปลอีกที จบ
สปอยล์ธีมเสื้อผ้าวันที่ 2 ซักหน่อย ใครอยากรู้ 5555555
ไปต่อ Part 2 กันเลยจ้า
Comments
Post a Comment